วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551

คำพิพากษา




คำพิพากษาเราตัดสินคนอื่นตลอดเวลา ลองนึกทบทวนดูเวลาที่มีใครมีความเห็น ตีค่าความคิด วัดจิตสำนึกของเรา เราจะไม่ชอบเลย ที่เขาเอากรอบความคิดของเขาเอาประสบการณ์ส่วนตัวของเขามาเป็นบรรทัดฐานในการตีค่า ว่าเราเป็นอย่างไรแล้วพูดบอกเหมือนติดป้ายให้เราตามความคิดของเขา เราก็ไม่ชอบคนอื่นก็เหมือนกัน ไม่มีใครอยากถูกตัดสินตีค่าตลอดเวลา เราไม่มีทางรู้จักใครจนสามารถประเมิณคุณค่าของใครได้อย่างแท้จริง เพราะเราไม่ได้นั่งอยู่ในใจของเขา คนแต่ละคนมีเหตุผลในการทำ พูด คิดของตัวเอง ตามประสบการณ์ ตามแรงผลักในใจและสถานการณ์ที่เขาเผชิญเราสามารถคอยรู้ท้นกรอบความคิดอคติในใจเรา มองคน มองโลกอย่างเป็นกลาง พยายามเข้าใจตามสภาพที่เกิดขึ้น ตามความเป็นจริง ก่อนตัดสินใจเลือกความคิด คำพูด และการกระทำของตัวเอง

เมื่อเราเข้าใจเห็นธรรมชาติที่ร้ายกาจ น่าเกลียดของตัวเอง เราก็จะเข้าใจเวลาที่คนอื่นเป็นเหมือนเรา ถ้าความรู้สึกนึกคิด และคำพูดของเราไม่ได้มีน้ำหนัก ไม่ได้เป็นแก่นสารที่คงทนเป็นสิ่งหนึ่งที่ผุดขึ้นแล้วก็หายไป คำพูด คำวิจารณ์ของคนอื่น ทีสักแต่เป็นคลื่นเสียงลอยอยู่ในอากาศเพียงครู่เดียวก็หายไป ก็ไม่น่าจะทำร้าย ไม่เป็นก้อนหินหนักให้ใจเราแบกเหมือนกันแต่ถึงแม้เราจะคอยปรับแก้ว ปรับปัจจัยภายในคือ ความอยากของเรา ไม่สร้างความทุกข์ให้ใจเรา เราก็ต้องดูด้วยว่าน้ำในแก้ว ปัจจัยภายนอก หรือคนที่เราเลือกนั้นเหมาะสมกับเป้าหมายและวิถีชีวิตของเราหรือไม่ ชีวิตที่ดีงามของคนคนหนึ่ง มีปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่จะพาชีวิตเราให้ขึ้นสูงหรือลงต่ำก็ได้ ก็คือคนรอบตัว เพื่อน ครู กัลยาณมิตร ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องเลือกให้ดี หรือมีอยู่แล้วก็ต้องพัฒนาไม่ให้สร้างปัญหาจนใจเราก็รับไม่ไหว
สนใจอ่านต่อได้ที่http://www.kemtidchewit.com/

ไม่มีความคิดเห็น: