วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2551

Christmas

ประวัติวันคริสต์มาส
คำว่า คริสต์มาส ภาษาอังกฤษเขียนว่า Christmas ดังนั้นอย่าลืม "ต์" อยู่ที่คำว่า คริสต์ (Christ) ไม่ใช่คำว่า"มาส" (Mas) Christmas มาจากภาษาอังกฤษ โบราณว่า Christes Maesse แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า โดยพบคำนี้ครั้งแรกในเอกสารโบราณในปี ค.ศ.1038 ภายหลังแปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas ประวัติความเป็นมาของวันคริต์มาส ซึ่งเป็นวันเกิดของพระเยซูนั้น ตามหลักฐานในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซ่าร์ ออกัสตัส แห่งโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็ขานรับนโยบาย อย่างไรก็ตามในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร ด้านนักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมันกำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยเทพ โดยตั้งแต่ปีค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปีค.ศ.64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปีค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย สำหรับองค์ประกอบในงานฉลองวันคริสต์มาสมีความเป็นมาเช่นกัน เริ่มที่คำอวยพรว่า Merry Christmas สุขสันต์วันคริสต์มาส คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส ต่อมาคือ "เพลง" ที่ใช้เฉลิมฉลองทั้งจังหวะช้าและจังหวะสนุกสนาน ส่วนใหญ่แต่งในยุคพระราชินีวิกตอเรียแห่งอังกฤษ (ค.ศ.1840-1900)ปัจจุบันแพร่หลายไปทั่วโลกโดยแปลเป็นภาษาต่างๆ มากมาย สำหรับ "ซานตาคลอส" เซนต์นิโคลัสแห่งเมืองมีรา สมัยศตวรรษที่ 4 ได้รับการขนานนามให้เป็นซานตาคลอสคนแรก เพราะวันหนึ่งท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่งแล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี ปิดท้ายที่ต้นคริสต์มาส หรือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยดวงไฟหลากสีสัน ต้องย้อนไปศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดิน
ทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้ พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมามาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมันจะตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก คริสต์มาส คือการฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้า เราเฉลิมฉลองกันในวันที่ 25 ธันวาคม คำว่า คริสต์มาส เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ Christmas ซึ่งมาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า เพราะการร่วมพิธีมิสซา เป็นประเพณี สำคัญที่สุด ที่ชาวคริสต์ถือปฎิบัติกันในวันคริสต์มาส คำว่า Christes Maesse พบครั้งแรกในเอกสาร โบราณ เป็นภาษาอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1038 และคำนี้ก็แปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas คำทักทายที่เราได้ฟังบ่อย ๆ ในเทศกาลนี้คือ Merry Christmas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ เพราะฉะนั้น คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพร คนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส
ซานตาคลอส
เป็นจุดเด่นหรือสัญลักษณ์ ที่เด็กและผู้คนนิยมมากที่สุด ในเทศกาลคริสต์มาส แต่แท้ที่จริงแล้ว ซานตาคลอส แทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเทศกาลนี้เลย ชื่อซานตาคลอส มาจากชื่อนักบุญนิโคลาส ซึ่งเป็นนักบุญที่ชาวฮอลแลนด์นับถือ เป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ของเด็กๆ นักบุญองค์นี้ เป็นสังฆราชของไมรา (อยู่ในประเทศตุรกี ปัจจุบัน) มีชีวิตอยู่ราวศตวรรษที่ 4 เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่ง อพยพไปอยู่ในสหรัฐ ก็ยังรักษาประเพณีนี้ไว้ คือ ฉลองนักบุญนิโคลาส ในวันที่ 6 ธันวาคม ซึ่งหมายถึง นักบุญนี้จะมาเยี่ยมเด็กๆ และเอาของขวัญมาให้ เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ ที่อพยพมา ก็รู้สึกอยากมีส่วนร่วมในประเพณีแบบนี้บ้าง เพื่อรับของขวัญ ประเพณีนี้ จึงเริ่มเป็นที่รู้จัก และแพร่หลายไปในอเมริกา โดยมีการเปลี่ยนแปลง บางอย่างคือ ชื่อนักบุญนิโคลาส ก็เปลี่ยนเป็นซานตาคลอส และแทนที่จะเป็นสังฆราช ซึ่งเป็นนักบุญ องค์นั้น ก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วน ใส่ชุดสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นพาหนะ มีกวาง เรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมาทางปล่องไฟ ของบ้าน เพื่อเอาของขวัญมาให้เด็กเหล่านั้น อันที่จริง ซานตาคลอสเป็นรูปแบบที่น่ารัก เหมาะสำหรับเป็นนิยายให้เด็กๆ เชื่อ แต่อาจจะทำให้คนทั่วไปหันมาสนใจ ให้ความสำคัญในตัวนิยายนี้ แทนการบังเกิดของพระเยซูเจ้า ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของเทศกาลคริสต์มาสนี้

ต้นคริสต์มาส
ในสมัยโบราณ "ต้นคริสต์มาส" หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบ ผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า (ปฐก.3:1-6) ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ชาวคริสต์แสดงละครที่ หน้าวัด ถึงความหมายของคริสต์มาสและเอาต้นไม้ต้นหนึ่งไว้ตรงกลาง เพื่อประดับฉาก แสดงถึงบาปกำเนิดของอาดัมและเอวา ต้นไม้ที่ใช้เป็นต้นสน เนื่องจากเป็นต้นไม้ ที่หาง่ายที่สุด ในประเทศ เหล่านั้น การแสดงละครคริสต์มาสแบบนี้ มีมาเป็นเวลาช้านานหลายร้อยปี จนถึงศตวรรษที่ 15 พระสังฆราชหลายแห่งได้ห้ามแสดง เนื่องจากการแสดงนั้น กลายเป็นการเล่นเหมือนลิเก ล้อชาวบ้าน ผู้ปกครองบ้านเมือง และศาสนา ซึ่งไม่ตรงกับบรรยากาศของการฉลอง ชาวบ้านรู้สึกเสียดาย ที่ไม่มีโอกาส ดูละครสนุกๆ แบบนั้นอีกจึงไปสนุกกันที่บ้านของตนโดยเอาต้นไม้มาไว้ที่บ้าน หลังจากนั้น ก็เริ่มมีการแขวนลูกแอปเปิ้ล ขนมและของขวัญอย่างที่เห็นอยู่ ทุกวันนี้ .....นอกจากนั้น ชาวเยอรมันยังมีประเพณีอีกอย่างหนึ่งคือ มีการจุดเทียนหลายเล่มเป็นรูปปิรามิด ไว้ตลอดคืนคริสต์มาส โดยมีดาวของดาวิดที่ยอดปิรามิด ซึ่งประเพณีที่จะแขวนของขวัญและขนม ก็ได้รวมกับประเพณีของชาวเยอรมันนี้ มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 โดยเอาเทียนมาไว้ที่ต้นไม้ เป็นรูปทรงปิรามิด นี่เป็นที่มาของประเพณีปัจจุบัน ที่มีการแขวนของขวัญและไฟกระพริบไว้ที่ต้นคริสต์มาสและมีดาวของดาวิดไว้ที่สุดยอด ประเพณีนี้ เป็นที่นิยมชมชอบของชาวตะวันตกอยู่มาก แม้ว่าประเพณีการตั้งต้นคริสต์มาส มีความเป็นมาดังกล่าว ชาวคริสต์ในสมัยนี้ ก็ยังนิยมทำกันอยู่ เพราะเห็นว่า มีความหมายถึงพระเยซูเจ้า ผู้เปรียบเสมือนต้นไม้แห่งชีวิต (ปฐก.2:9) ที่เขียวสดเสมอในทุกฤดูกาล ซึ่งหมายถึง นิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า และนอกจากนั้นยังหมายถึง ความสว่างของพระองค์ เสมือนแสงเทียนที่ส่องในความมืด ทั้งยังหมายถึง ความชื่นชมยินดี และความสามัคคีที่พระเยซูเจ้าประทานให้ เพราะต้นไม้นั้น เป็นจุดรวมของครอบครัวในเทศกาลนั้น

วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551

การบ้านภาษาไทย

นิทานมงคลคำฉันท์
เรื่อง นันทวิสาลชาดก
ในอดีตกาลในนครตักสิลาพระโพธิสัตว์ถือกำเนิดเป็นโคของพราหมณ์คนหนึ่งซึ่งตั้งชื่อว่า
นันทิวิสาลพราหมณ์ได้ให้ความรักและเลี้ยงดูโคนันทิวิสาลอย่างดี เมื่อโคเติบใหญ่ขึ้นก็มีความคิดว่า พราหมณ์ได้ให้เลี้ยงดูตนเป็นอย่างดียิ่ง สมควรจะทำการตอบแทน วันหนึ่ง โคนันทิวิสาลจึงแจ้งความประสงค์แก่พราหมณ์และให้พราหมณ์ไปท้าพนัน โควินทกเศรษฐีว่าโคนันทิวิสาลสามารถลากเกวียนที่ผูกติดต่อกันได้ร้อยเล่มเกวียน พราหมณ์จึงไปท้าพนันกับเศรษฐีด้วยทรัพย์พันหนึ่ง เมื่อตกลงกันแล้วเขาจึงเอาเกวียนบรรทุกด้วย กรวดและก้อนหินเต็มทั้งร้อยเล่มแล้วตั้งเป็นแถวผูกเชือกขันชะเนาะให้ติดเนื่องกันเป็นคันเดียว เสร็จแล้วก็อาบน้ำให้โคนันทิวิสาล เทียมโคตัวเดียวที่แอกเกวียนเล่มแรก ส่วนตนเองก็ขึ้นนั่งที่แอกเกวียน แล้วยกปฏักขึ้นตวาดด้วยคำหยาบเป็นต้นว่า เฮ้ยเจ้าโคโกง เจ้าจงลากไป เฮ้ยเจ้าโคโกง เจ้าจงพาไปให้ได้ โคนันทิวิสาลได้ยินเช่นนั้นจึงคิดว่าท่านพราหมณ์นี้เรียกเราผู้ไม่โกงเลยว่าเป็นผู้โกง จึงยืนเฉยเสีย พราหมณ์จึงแพ้พนันเศรษฐี เมื่อกลับถึงบ้านก็นอนเศร้าโศกอยู่ ส่วนโคนันทิวิสาลเมื่อกลับมาถึงบ้านเห็นพราหมณ์เศร้าโศก จึงเข้าไปหาแล้วกล่าวว่า ท่านพราหมณ์ ตลอดเวลาที่เราอยู่ที่นี้ ท่านให้ได้การเลี้ยงดูเราอย่างดี และเราก็ไม่เคยกระทำความเดือดร้อนใด ๆ ให้แก่ท่าน ไฉนท่านจึงกล่าวว่าเราเป็นผู้โกงไปได้ เอาเถอะ ท่านจงไปท้าพนันกับเศรษฐีอีกครั้งและอย่าเรียกเราว่าเป็นโคโกงอีกเลย พราหมณ์ได้ฟังดังนั้นจึงไปท้ากับเศรษฐีด้วยทรัพย์เป็นทวีคูณ เมื่อถึงวันกำหนดได้ผูกเกวียนร้อยเล่มให้ติดเป็นเล่มเดียวกัน แล้วเทียมเข้าที่แอกเกวียนเล่มต้นนั้น เมื่อเทียมเสร็จแล้วจึงขึ้นนั่งที่เอกเกวียนแล้วลูบหลังโคพร้อมกล่าวว่า พ่อมหาจำเริญ จงลากไป พ่อมหาจำเริญ จงฉุดไปเถิด ฝ่ายโคนันทิวิสาลได้ยินเช่นนั้น ก็สามลากเกวียนร้อยเล่มนั้นจากเกวียนที่อยู่ท้ายสุดไปตั้งอยู่ที่ตรงเกวียนเล่มต้น ทำให้พราหมณ์ชนะพนันเศรษฐี
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง การกล่าววาจาที่ไม่สุภาพย่อมไม่มีผู้ใดอยากฟังและทำตาม ดังในมงคลสูตรที่ ๑o ที่ว่า กล่าววาจาสุภาษิต(คือรู้จักใช้วาจาพูดให้เป็นผลดี) ย่อมมีผู้ฟังและทำตาม

วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุยเดชมหาราช

ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุยเดชมหาราชเนื่องในวันพระราชสมภพ

วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ใช้สำหรับการทำงานมีประโยชน์ม๊าก มาก..นะคะ รวม Hot Keys A-Z สำหรับ MS Office

CTRL + A = Select All เลือกทั้งหมด
CTRL + B = Bold ตัวหนา
CTRL + C = Copy คัดลอก
CTRL + D = Font format กำหนดรูปแบบอักษร
CTRL + E = Center ตรงกลาง
CTRL + F = Find ค้นหา
CTRL + G = Goto ไปที่
CTRL + H = Replace แทนที่
CTRL + I = Italic ตัวเอียง
CTRL + J = Justify จัดชิดขอบ
CTRL + K = Insert Hyper Link แทรกการเชื่อมโยงหลายมิติ
CTRL + L = Left จัดชิดซ้าย CTRL + M = Indent เพิ่มระยะเยื้อง
CTRL + N = New สร้างแฟ้มใหม่
CTRL + O = Open เปิดแฟ้มใหม่
CTRL + P = Print พิมพ์
CTRL + Q = Reset Paragraph ตั้งค่าย่อหน้าใหม่
CTRL + R = Right จัดชิดขวา
CTRL + S = Save จัดเก็บ (บันทึก)
CTRL + T = Tab ( ตั้งระยะแท็บ)
CTRL + U = Underline ขีดเส้นใต้
CTRL + V = Paste วาง
CTRL + W = Close ปิดแฟ้ม
CTRL + X = Cut ตัด
CTRL + Y = Redo or Repeat ทำซ้ำ
CTRL + Z = Undo ยกเลิกการกระทำครั้งล่าสุด
CTRL + SHIFT + A = All Caps ทำเป็นตัวใหญ่ทั้งหมด (สำหรับภาษาอังกฤษ)
CTRL + SHIFT + B = Bold ตัวหนา
CTRL + SHIFT + C = Copy Format คัดลอกรูปแบบ
CTRL + SHIFT + D = Double Underline ขีดเส้นใต้ 2 เส้น
CTRL + SHIFT + E = Revision Mark Toggle สลับการทำเครื่องหมายรุ่นเอกสาร
CTRL + SHIFT + F = Fonts Name Select เลือกชื่อแบบอักษร
CTRL + SHIFT + G = Word count นับจำนวนคำ
CTRL + SHIFT + H = Hidden ซ่อน
CTRL + SHIFT + I = Italic ตัวเอียง
CTRL + SHIFT + J = Thai Justify จัดคำแบบไทย
CTRL + SHIFT + K = Small Caps ทำอักษรตัวพิมพ์เล็กให้เป็นตัวพิมพ์ใหญ่แบบเล็กๆ
CTRL + SHIFT + L = Apply List Bullet ใช้เครื่องหมายหน้าข้อ
CTRL + SHIFT + M = Unindent ลดระยะเยื้อง
CTRL + SHIFT + N = Normal Style ใช้ลักษณะแบบปกติ
CTRL + SHIFT + O = N/A CTRL + SHIFT + P = Font Size Select เลือกขนาดแบบอักษร
CTRL + SHIFT + Q = Symbol Font ใช้แบบอักษรสัญลักษณ์
CTRL + SHIFT + R = Recount Words นับคำใหม่
CTRL + SHIFT + S = Style กำหนดลักษณะ
CTRL + SHIFT + T = Unhang ไม่แขวนภาพ
CTRL + SHIFT + U = Underline ขีดเส้นใต้
CTRL + SHIFT + V = Paste Format วางรูปแบบ
CTRL + SHIFT + W = Word Underline ขีดเส้นใต้เฉพาะคำ
CTRL + SHIFT + X = N/A CTRL + SHIFT + Y = N/A
CTRL + SHIFT + Z = Reset Character ตั้งค่าแบบอักษรใหม่
CTRL + ALT + A = N/A CTRL + ALT + B = N/A
CTRL + ALT + C = Copyright sign ((c)) สัญลักษณ์ลิขสิทธิ์
CTRL + ALT + D = N/A CTRL + ALT + E = Euro Sign (?) สัญลักษณ์เงินยูโร
CTRL + ALT + F = Insert Footnote Now แทรกหมายเหตุ
CTRL + ALT + G = N/A CTRL + ALT + H = N/A
CTRL + ALT + I = Print Preview ตัวอย่างก่อนพิมพ์
CTRL + ALT + J = N/A CTRL + ALT + K = Auto Format จัดรูปแบบอัตโนมัติ
CTRL + ALT + L = Insert List Number แทรกเลขลำดับหน้าข้อ
CTRL + ALT + M = Insert Annotation แทรกคำอธิบาย
CTRL + ALT + N = Normal View มุมมองปกติ
CTRL + ALT + O = Outline View มุมมองแบบร่าง
CTRL + ALT + P = Page View มุมมองเหมือนพิมพ์
CTRL + ALT + Q = N/A
CTRL + ALT + R = Registered sign สัญลักษณ์เครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียน
CTRL + ALT + S = Document Split แยกเอกสาร
CTRL + ALT + T = Trade Mark sign (?) สัญลักษณ์เครื่องหมายการค้า
CTRL + ALT + U = Update Auto Format for Table ปรับปรุงการจัดรูปแบบอัตโนมัติในตาราง
CTRL + ALT + V = Insert Auto Text แทรกข้อความอัตโนมัติ
CTRL + ALT + W = N/A CTRL + ALT + X = N/A CTRL + ALT + Y = Repeat find ค้นหาเพิ่มเติม
CTRL + ALT + Z = Go back ย้อนกลับ Special Keys
CTRL + < = Decrease Font size by step เพิ่มขนาดตัวอักษรทีละขนาดที่กำหนด
CTRL + > = Increase Font size by step ลดขนาดตัวอักษรทีละขนาดที่กำหนด
CTRL + [ = Decrease Font size by point เพิ่มขนาดตัวอักษรทีละพอยน์
CTRL + ] = Increase Font size by point ลดขนาดตัวอักษรทีละพอยน์
CTRL + - = Optional Hyphen แทรกยัติภังค์
CTRL + _ = Non Breaking Hyphen แทรกยัติภังค์แบบไม่แบ่งคำ
CTRL + = = Sub Script ตัวห้อย CTRL + + = Super Script ตัวยก
CTRL + = Toggle Master sub document สลับไปมาระหว่างเอกสารหลักและเอกสารย่อย
CTRL + , = Prefix Keys กำหนดแป้นพิมพ์
ที่มา http://planet.kapook.com/speedlove/blog/viewnew/6208

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ตาต้ามอเตอร์ บริษัทรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอินเดีย ประกาศผลิตรถยนต์ที่ใช้พลังงานลมในการขับเคลื่อน โดยจะทยอยนำส่งเข้าสู่โชว์รูมในปี พ.ศ. 2552 รถยนต์พลังลม หรือ AirCar นี้ ใช้การปล่อยอากาศจากระบบบีบอัดอากาศด้วยความดันสูง โดยอากาศที่ปล่อยออกมาจะทำหน้าที่หมุนเพลา ทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ โดยการเติมอากาศ สามารถเติมได้ตามสถานีอัดอากาศด้วยราคาไม่แพง โดยความเร็วสูงสุดที่ทำได้อยู่ที่ประมาณ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และสามารถวิ่งได้ประมาณ 200 กิโลเมตรต่อการเติมอากาศหนึ่งครั้ง บริษัทผู้ออกแบบรถยนต์พลังลมคันนี้ คือ บริษัท MDI จากประเทศลักเซมเบิร์ก ซึ่งให้สิทธิบัตรแก่ตาต้าในการผลิตรถยนต์พลังลมในประเทศอินเดีย โมเดลแรกของตาต้า CityCAT ตั้งราคาไว้ประมาณ 400,000 บาท โดยตาต้าหวังไว้ว่าจุดเด่นของ CityCAT ที่ไม่มีการปล่อยมลพิษทางอากาศ และราคาไม่แพง จะท! ำให้รถพลังลมรุ่นแรกนี้ จะทำยอดขายได้ดีในตลาดอินเดีย

วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

การทำ E - Book ด้วย PDFCreator
ความหมายของ E-book เอาแบบง่าย ๆ ก็คือหนังสือหรือเอกสารทางอีเล็คทรอนิกส์ ที่สามารถอ่านได้โดยอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ต่าง ๆ เช่นเครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องปาล์ม โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ ซึ่งจะอ่านได้ก็เมื่อคุณมีโปรแกรมการอ่านจากคนผลิดโปรแกรมที่ทำ e-book นั่นแหละ
วิธีทำ หนังสือให้อยู่ในรูปของ E- book ก็มีโปรแกรม ต่าง ๆ มากมายแล้วแต่ใครเขาจะผลิดขึ้นมาขาย แต่ที่ง่ายและคุ้นหูคุ้นตา ก็คือ การทำให้หนังสือ อยู่ใน ไฟล์ . pdf ( อย่างหนังสือของเวปนี่ไง) แถมมีโปรแกรมแจกฟรีเสียด้วยสิ ไปดาวน์โหลดได้ที่ Nectec นะคะ หน้านี้
http://lanta.giti.nectec.or.th/drupal/?q=node/679
โปรแกรมที่ใช้อ่านหนังสือ e-book ที่อยู่ในไฟล์ pdf นี ก็คือ Acrobat Reader นี่ก็หาง่ายมีให้โหลดทั่วไปในอินเตอร์เน็ท
เอ้า ! เริ่มแรก ให้เข้าใจเอาเลยว่า คุณได้เขียนหนังสือของคุณจบแล้ว ด้วย word ธรรมดา ๆ นี่แหละ วิธีที่จะทำให้มันอยู่ใน ไฟล์ pdf
ก็คลิกที่เมนูบาร์ คำสั่ง file>print มันก็จะมีจอการพิมพ์ออกมาให้คุณเห็น
ตรง ชื่อเครื่องพิมพ์ มีสามเหลี่ยมกลับหัวเล็ก ๆ ให้คุณคลิก แล้วคุณก็เลือก pdfcreator
จากนั้นก็รอสักครู่ จะมีจอถามคุณให้ save เอกสาร ก็ตั้งชื่อแล้วกด ok ไป
และแล้วไม่นานคุณก็จะได้ หนังสือหรือเอกสารของคุณก็จะกลายเป็น e-book ค่ะ
หากคุณต้องการจะปรับแต่งให้มี password หรืออื่น ๆ ก่อนที่จะเปิดอ่านหนังสือ นี้ ก็ไปปรับแต่งคำสั่งใหม่ได้
ที่ Desktop ของคุณ ให้คลิก shortcut รูป pdfcreator จะปรากฏจอสถานะการพิมพ์ขึ้นมาให้คุณเห็น
ที่เมนู คลิกที่คำสั่ง printer ก็จะมีคำสั่งย่อยลงมา
เลือก option แล้วไปยัง format PDF คลิกที่ security จากนั้นก็เลือกติ๊กที่ use security ก็จะมีจอมาถามให้ติ๊กเลือก หรือ ใส่ password ตามที่คุณต้องการค่ะ
( ภาพนี้ก็เอามาจากลิ้งค์ข้างบนนั่นแหละ)


สนุกกับการทำ E-book ของคุณนะคะ
ฟีลิปดา 1 กรกฎาคม 2549

ที่มาhttp://www.forwriter.com/mysite/forwriter.com/printedbusiness/makee-book.htm

วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2551


ที่เราก็ไปเที่ยวมาเหมือนกัน








วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เราไปเที่ยวพิมายมานำรูปมาฝากจ้า







วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2551

ดีใจจังเลยจะปิดเทอมแล้ว

เย้เย้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จะปิดเทอมแล้วดีใจจังเลย เพื่อนจะไปเที่ยวไหนกันบ้างอย้าลืมมาเล่าให้ฟังกันนะ



รูปนี้น่ารักมากเลยเอาฝากจ้า




วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2551

ชวนเพื่อนเล่นCrosse word

ชวนเพื่อนๆทุกคนมาเล่น Crosse word กันนะ

คลิกได้เลยจ๊ะ

วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2551

หากมีเพียง 100 คนบนโลกใบนี้

สิ่งที่คุณกำลังจะอ่านต่อไปนี้ได้มาจากอีเมล์ซึ่งภายหลังได้ตีพิมพ์เป็นหนังสือ
บนโลกใบนี้มีคนมากกว่าหกพันล้านคนถ้าย่อโลกเหลือเป็นหมู่บ้านที่มีคนอาศัยเพียง100คนมันจะเป็นอย่างไร52คนเป็นผู้หญิง48คนเป็นผู้ชาย89คนเป็นคนรักต่างเพศ11คนเป็นคนรักเพศเดียวกัน30คนเป็นเด็ก70คนเป็นผู้ใหญ่และ7คนในจำนวนนี้แก่แล้ว70คนไม่ใช่คนผิวขาว30คนเป็นผิวขาว61คนเป็นเอเชีย12คนมาจากยุโรป27คนมาจากที่อื่นๆใน100คนมีคนนับถือศาสนาและพูดกันหลากหลายภาษาในเมื่อมีคนหลากหลายเราจึงต้องยอมรับเรียนรู้และเข้าใจเขาให้ได้จาก100คนในหมู่บ้าน20คนอดอยากแร้นแค้นขณะที่1คนกำลังจะตายแต่อีก15คนอ้วน....ถ้าดูทรัพสินของหมู่บ้าน 6คนมีถึง59เปอเซนกลุ่มนี้ล้วนมาจากอเมริกาทั้งสิ้นอีก74คนมีไว้39เปอเซนและ20คนเฉลี่ยกันคนละ2เปอร์เซ็น ถ้าคุณมีรถใช้แสดงว่าคุณเป็น1ใน10คนที่รวยที่สุด75คนมีอาหารและแหล่งพักพิงกันลมกันแดดฝน แต่อีก25คนไม่มี ถ้าคุณสามารถพูดจา/แสดงออกตามความเชื่อและสามัญสำนึกของตนเองได้โดยไม่ต้องโดนคุกคาม กังขัง ทรมานหรือถูกฆาตกรรม นั้นแสดงว่าคุณยังโชคดีกว่าอีก48คนที่ทำไม่ได้ถ้าคุณไม่ได้อยู่อย่างหวาดกลัวกับความตายจากโดนระเบิด/อาวุธ เหยียบกับระเบิดหรือโดนข่มขืน นั้นแสดงว่าคุณยังโชคดีกว่าอีก20คนในจำนวนข้อความที่อ่านมาทั้งหมดที่อ่านมาดูเหมือนจะน้อย แต่อย่าลืมสิว่าเราย่อจำนวนคนจากหกพันล้านคนเหลือเพียง100คนเท่านั้นถ้าคุณได้อ่านข้อความนี้แสดงว่าคุณยังมีชีวิตอยู่และคุณอ่านหนังสือได้ ดังนั้นจงพึงคิดไว้เถอะว่าคุณยังโชคดีกว่าใครหลายๆคนที่ด้อยโอกาสกว่าเรา จงใช้มันให้คุ้มค่าและถูกต้องเถอะ

ที่มา thaireaderclub.com

วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2551

มีความหมายดีมากๆ จึงอยากให้อ่านด้วยกันครับ!


เพื่อน ๆ บอกผมว่าทำไมดูหน้าตาไม่ค่อยฉลาด แต่เรียนเก่งจัง
ผมบอกเพื่อนผมว่า แม่สอน ให้ขยันแล้วก็ตั้งใจเรียน


เพื่อน ๆ ผมบอกว่า ทำไมพอมีตังค์ ชอบเอาไปทำบุญ แจกเด็ก เลี้ยงพระ
ผมบอกเพื่อนผมว่า แม่สอน ให้รู้จักแบ่งปันคนอื่น ถึงเราจะมีตังค์น้อย แต่ก็มีคนอื่นที่เขาลำบากกว่าเรา

เพื่อน ๆ ผมบอกว่า ทำไมชอบเล่นกีฬา เล่นเป็นหลายอย่าง แล้วไม่เคยเห็นป่วยนอนโรงพยาบาลเลย

ผมบอกเพื่อนผมว่า แม่สอน ให้ออกกำลังกาย จะได้แข็งแรง ไม่เจ็บ ไม่ป่วยง่าย ๆ เพราะเรามีตังค์น้อย เจ็บป่วยจะลำบาก

เพื่อน ๆ ผมบอกว่า ทำไมมึงอารมณ์ดี ไม่เครียด ไม่โกรธใครบ้างเลยหรือไง
ผมบอกเพื่อนผมว่า แม่สอน ให้เป็นคนอารมณ์ดี ทำให้คนที่อยู่ใกล้เรามีความสุข แล้วจะสบายใจกันทุกคน

เพื่อน ๆ ผมบอกว่าทำไมมึงพูดกับคนอื่น ดูสุภาพ อ่อนน้อม ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นลุงแก่ ๆ เป็นเด็กเสริฟอาหารหรือแม้แต่ขอทานที่ให้เศษตังค์แล้วเขาอวยพรให้ ทำไมต้องขอบคุณขอทาน

ผมบอกเพื่อนผมว่า แม่สอน ให้พูดดี ๆ กับทุกคน ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เราพูดดี ๆ กับเขา เขาก็จะได้พูดดี ๆ กับเรา

เพื่อน ๆ ผมบอกว่าทำไมพี่ ๆ น้อง ๆ ตั้งหลายคน ทำไมรักใคร่กันดี ไม่เคยทะเลาะกันเลย
ผมบอกเพื่อนผมว่าแม่สอน ให้พี่น้องรักกันทุกคน เพราะหมากับแมวที่อยู่บ้านเดียวกัน มันยังรักกันได้ ทำไมพี่น้องกัน จะรักกันไม่ได้

เพื่อน ๆ ผมบอกว่าทำไมถึงรักชาติ รักแผ่นดิน รักในหลวง มากมายนัก
ผมบอกเพื่อนว่าแม่สอน ให้สำนึกถึงบุญคุณของแผ่นดิน บุญคุณของพระมหากษัติรย์ ทุกพระองค์แม่สอน ให้รู้จักคำว่า จงรักภักดี ตั้งแต่กูยังไม่รู้ความหมาย จนทุกวันนี้ รู้แล้วว่าคำว่า จงรักภักดี นั้น ยิ่งใหญ่เพียงใด
เพื่อน ๆ ผมบอกว่า ทำไมแม่มึงถึงสอนอะไรมากมายจังเลย


ผมบอกเพื่อนว่า ที่เป็นอยู่จนทุกวันนี้ ก็เพราะ ' แม่สอน' แม่ สอนอะไร ทำตามแม่สอนทุกอย่าง มีอย่างเดียวที่แม่ไม่ได้สอน แต่ทำ แล้วทำมาตั้งแต่เด็กแล้วแม่ผมไม่ได้สอนให้รักแม่ แต่ผม......รักแม่
ใครไม่รัก..................ผมรัก


ที่มา น้าส่งเมลล์มาให้

วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2551

25 วิธีบอกรัก

25 วิธีบอกรัก
1. อย่าเขินที่จะบอกรัก
2 จดจำรายละเอียดของเขาหรือเธอ เช่น ชอบทานอะไร ชอบฟังเพลงแนวไหน กิจกรรมสุดโปรด คืออะไร แล้วหยิบยื่นสิ่งเหล่านี้ให้เธอหรือเขา เสมอ ๆ
3. โรแมนติกให้ถูกที่ ถูกเวลา เรื่องโรแมนซ์ ใครจะไม่ชอบ แต่บางทีก็ต้องถูกกาลเทศะด้วย ถ้าขืนกระโดดหอมแก้มแฟนกลางสยาม ใครล่ะจะไม่โกรธ!!! ลองหาสถานที่เหมาะๆ ดีกว่ามั้ย
4. ให้เกียรติกันและกันเสมอ
5. อย่าปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือความรัก นึกถึงเรื่องดี ๆ ที่เขาเคยทำให้เรา แล้วจะช่วยให้ความโกรธหรืออารมณ์ชั่ววูบเบาบางลง
6. เมื่อมีปัญหาควรใช้เหตุผลในการพูดคุย ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่คนสองคนต้องมีเรื่องขัดแย้ง แต่ถ้าทั้งคู่พร้อมที่จะปรับตัวเข้าหากัน ปัญหาทั้งหลายจะกลายเป็นเรื่องขี้ผง
7. ปล่อยให้ อีกฝ่าย มีเวลาเป็นของตัวเอง การเกาะติดแจมีแต่จะทำให้ความรักจืดจางได้ง่าย ปล่อยให้เขาไปเที่ยวกับเพื่อนบ้าง หรือพยายามให้ตัวเองมีโลกส่วนตัวบ้างจะได้ไม่อึดอัด
8. พูดกันตรงๆ แต่เลือกใช้คำที่ไม่ทำร้ายจิตใจ
9. มีขอบเขตในการปรับตัว แน่นอนที่ทั้งเราและเขาต่างต้องปรับตัวเข้าหากัน แต่ก็ควรมีลิมิตด้วย ไม่ใช่ยอมเปลี่ยนแปลงให้เป็นแบบที่เขาต้องการทุกอย่าง จนไม่เหลือความเป็นตัวของตัวเอง ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนตัวเองเพื่อคนอื่นได้นานหรอก
10. ห้ามโกหก ข้อนี้สำคัญมาก เพราะจะไม่สามารถเชื่อใจกันได้อีก
11. อย่าคาดคั้นหาคำตอบหากอีกฝ่ายยังไม่พร้อม บางครั้งการที่เราดึงดันจะรู้ให้ได้เดี๋ยวนั้นเลยว่าทำไม่? เพราะอะไร ? จะเอายังไง? เป็นการกดดันอีกฝ่ายอย่างไม่มีประโยชน์ หากเราและเขาอยู่ในสถานการณ์ ตึงเครียด ลองถอยออกมา 1 ก้าว ทำใจให้สงบ รอจนกว่าเขาพร้อม แล้วค่อยคุยเรื่องนี้กันใหม่ก็ยังไม่สาย
12. ดูแลตัวเองให้เก๋กู๊ดอยู่เสมอ เขาจะได้ไม่มองคนอื่นไง
13. ไม่ควรคาดหวังกับความรัก บอกแล้วว่าความรักเป็นเรื่องของความรู้สึกของคนสองคนล้วน ๆ จึงเอาแน่เอานอนไม่ได้ อย่าคาดหวังว่าเขาจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ จะทำนั่นทำนี้ให้เรา เพราะถ้าผิดหวังจะเสียใจทั้งสองฝ่าย ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติดีกว่า
14. ห้ามหลุดคำหยาบ ต่อให้ทะเลาะกันรุนแรงแค่ไหนก็ไม่ควรด่าทอกันเสีย ๆ หาย ๆ มีแต่จะทำให้เข้าหน้ากันไม่ติด
15. ซื่อสัตย์และไว้ใจกัน สองอย่างนี้จะทำให้คุณสองคน เป็นคู่ที่น่าอิจฉาที่สุดในโลก
16. หาสิ่งของที่ต้องดูแลร่วมกัน เช่น สัตว์เลี้ยง หรือ ต้นไม้ หรือกิจการเล็กๆ น่ารัก ๆ เพื่อสร้างความผูกพันระหว่างคนสองคน
17. ให้โอกาสอีกฝ่ายในการแก้ไขข้อผิดพลาด ทีคนอื่นเรายังให้อภัยเขาได้ และกับคนที่เรารัก เรายิ่งต้องให้อภัยและให้โอกาสเขา แต่ควรระวัง ไม่ว่าใครก็ตาม เราไม่ควรให้โอกาสเขาเกิน 3 ครั้ง
18. อย่าอายที่จะขอโทษ
19. หากิจกรรมที่สร้างสรรค์ทำร่วมกันบ้าง เช่น ชวนกันเล่นแบดมินตัน ไปดูงานศิลปะ ด้วยกันบ่อยๆ นอกจากความรักจะสดใสแล้ว เรายังได้เจออะไรใหม่ๆ ในชีวิตอีกด้วย
20. นึกถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายเสมอ อย่ามัวแต่คิดว่าทำไมเขาไม่เข้าใจเรา ??? มันไม่มีประโยชน์แถมยังทำให้เราขี้น้อยใจอย่างไม่มีเหตุผล
21. รู้สึกดีกับสังคมของเรา ทั้งพ่อแม่และพี่น้อง เพื่อน และคนรักเก่า รู้หรอกน่าว่ามันทำใจยาก (โดยเฉพาะรายหลังสุด) แต่ถ้าทำได้ มันจะยกระดับจิตใจของคุณให้สูงส่ง ทำให้คุณภูมิใจในตัวเอง และเขาก็จะ รักคุณเพิ่มขึ้นมากๆๆ
22. อย่าปิดกั้นโอกาส ลองเปิดตัวเองให้รู้จักคนใหม่ๆ ไม่ได้แนะนำให้หลายใจนะจ๊ะ แต่การได้รู้จักคนเยอะๆ จะทำให้เรารู้ค่าคนใกล้ตัวและรู้ใจตัวเองมากขึ้น
23. รู้จักที่จะใช้ภาษากาย ไม่ใช่ภาษาใบ้นะจ๊ะ แต่เป็นการสัมผัสร่างกายของอีกฝ่าย เช่น จับมือ ลูบหลัง ใครๆ ก็บอกว่ามันสามารถสื่อความในใจของเราได้ดีกว่าคำพูดหลายเท่าเชียว
24. คิดถึงอนาคต แต่อย่าพูดบ่อย เดี๋ยวเขาจะหาว่าเราผูกมัดแล้ว พาลหงุดหงิดใส่เพียงแค่รู้ว่าเราต่อไปเราอยากใช้ชีวิตแบบไหน แล้วพูดถึงมันในจังหวะเหมาะ ๆ แค่ครั้งเดียวก็พอ เพื่อทำให้เขารู้ว่าตัวคุณก็มี Plan ชีวิตเขาจะมาเล่น ๆ ไม่ได้
25. รักตัวเองให้มากๆ เพราะถ้าคุณไม่รักตัวคุณเองแล้วคุณจะไปรักใครที่ไหนได้เล่า
แหล่งที่มา: Artsm

วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2551

คุณค่าของเวลา

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 10 ปีมีค่าขนาดไหน ถามคู่แต่งงานที่เพิ่งหย่าร้างกัน
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 4 ปีมีค่าขนาดไหน ถามนิสิตนักศึกษาที่เพิ่งรับปริญญาจากมหาวิทยาลัย
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 ปีมีค่าขนาดไหน ถามนักเรียนที่สอบไล่ตก
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 9 เดือนมีค่าขนาดไหน ถามแม่ที่เพิ่งคลอดลูก
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 เดือนมีค่าขนาดไหน ถามมารดาที่คลอดบุตรยังไม่ครบกำหนด
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 อาทิตย์มีค่าขนาดไหน ถามบรรณาธิการหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 ชั่วโมงมีค่าขนาดไหน ถามคนรักที่รอพบกัน
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 นาทีมีค่าขนาดไหน ถามคนที่พลาดรถไฟ รถประจำทาง หรือเรือบิน
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 วินาฑีมีค่าขนาดไหน ถามคนที่รอดตายจากอุบัติเหตุอย่างหวุดหวิด
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลาเสี้ยวหนึ่งของวินาฑีมีค่าขนาดไหน ถามนักกีฬาโอลิมปิคที่ชนะเหรียญเงิน
ถ้าท่านอยากรู้ว่ามิตรภาพมีค่าขนาดไหน เสียเพื่อนสักคนหนึ่ง
เวลาไม่เคยรอใคร เมื่อมันผ่านไปแล้ว มันจะไม่กลับมาอีก จงใช้เวลาของท่านทุกขณะอย่างดีที่สุด
ท่านจะรู้คุณค่าของเวลาเมื่อท่านแบ่งปันกับคนที่พิเศษสุดในชีวิตของท่าน


ที่มาhttp://chinese-zeedzaa.igetweb.com/index.php?mo=3&art=33685

วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2551

“50 ข้อคิด” มุมมองเพื่อความเข้าใจในชีวิต

“50 ข้อคิด” มุมมองเพื่อความเข้าใจในชีวิต
1. เมื่อเด็กกำลังเติบโตเป็นวัยรุ่น มีความต้องการเป็นตัวของตัวเองสูง ผู้ใหญ่ที่ไม่เข้าใจและใจแคบมักจะมองว่าเด็กดื้อ
2. คนเราจิตตกได้เป็นครั้งคราว อาจทำอะไรที่ไม่เหมาะสมได้ การรู้ตัวเองและให้อภัยตัวเอง จึงเป็นสิ่งสำคัญ
3.คนอกหักไม่อาจตัดความโศกเศร้าได้ด้วยเหตุผลเพียงอย่างเดียว เวลาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเยียวยาความรู้สึกดังกล่าว
4. ให้เคารพแนวคิดของผู้อื่นบ้าง เสมือนหนึ่งเป็นอีกแนวคิดหนึ่งที่ต่างไปจากเราเท่านั้นเอง
5. ตนเองเสียเมื่อไหร่ที่คิดดี คิดชอบเป็นอยู่คนเดียว
6. ทำไปเพราะไม่รู้ ให้อภัยกันได้ รู้แล้วยังทำ คือ ความดื้อ
7. ก่อนที่จะว่ากล่าวถึงนิสัยไม่ดีของลูกนั้น ให้มองตัวพ่อแม่เองก่อนด้วยว่า เรามีส่วนผลักดันให้เขาเป็นเช่นนั้นด้วยหรือเปล่า
8. ความทุกข์ของมนุษย์ 100% เกิดจากการพยายามฝืนความจริงของธรรมชาติ
9. หากต้องอยู่กับคนที่ไม่เกรงใจกันเลย พูดกับเขาให้น้อยลง เล่นกับเขาให้น้อยลง
10. หากอยากได้อะไร ก็ควรเสียอะไรบ้าง
11. ถ้าเราปล่อยให้โลก เร่งตัวเรา ควบคุมตัวเรา จนเราขาดอิสระภาพ เราก็จะทุกข์ ถ้าเราจะเร่งโลก ควบคุมโลกให้โลกนี้เป็นไปตามความต้องการของเรา เราก็ทุกข์เช่นกัน
12. ความฉลาดอาจหลอกคนได้ ความจริงใจต่างหากที่จะชนะใจคน
13. การให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์มากไป ทำให้เราลืมธรรมชาติ ลืมความเป็นจริงได้ง่าย
14. อารมณ์เป็นตัวกำหนดความคิด ความคิดกำหนดพฤติกรรม หากจะเข้าใจพฤติกรรมของคนให้ถูกต้อง จึงต้องอ่านอารมณ์ให้ออก
15. การมองอะไร ว่าดี ว่าเลว ขึ้นกับว่าอารมณ์ของเราขณะนั้นเป็นอย่างไร
16. ทำอะไรก็แล้วแต่ ควรมีหลักการบ้าง แต่ต้องระวังอย่ายึดเป็นกฎเกินไป
17. อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดเป็นคำพื้นๆ ที่ใช้มาเตือนสติเราได้ดีตลอดกาล
18. การพยายามทำอะไรทุกอย่างให้ได้ การสงสัยอะไรทุกเรื่องเป็นความโง่ได้ก็เพราะว่าเรื่องต่างๆ ในโลกนี้มีตั้งหลายเรื่องที่ใช่ว่าเราจะรู้มันได้ง่ายและเรื่องอีกหลายเรื่องก็ไม่จำเป็นที่ต้องตอบให้ได้ด้วย
19. คุณธรรมส่อคุณค่าของมนุษย์มากกว่าความฉลาด
20. อะไรก็ตามแต่แม้ว่ามันจะจริง จะถูกต้อง แต่ถ้าการพูดออกไปนั้น มันไม่มีประโยชน์มีแต่ผลเสีย อย่าพูดดีกว่า
21. การขาดความเกรงใจต่อกัน ทำให้เราทะเลาะกันได้ง่าย การมีความเกรงใจต่อกันที่มากเกินไป ก็ทำให้เราไม่เป็นตัวของตัวเอง
22. ใครที่เขากล้าพูดความจริงกับเราออกมา นั่นก็เพราะเขามีความเชื่อมั่นว่าเราจะยอมรับเขาได้
23. การฝึกวินัยให้กับลูกนั้นแท้ที่จริงแล้วเป็นการฝึกวินัยให้กับพ่อแม่ด้วย
24. หากลูกเป็นคนเฉื่อยชา เราคงต้องช่วยกระตุ้นให้กำลังใจ หากลูกเป็นคนเอาจริงเอาจังเกินไป เราคงต้องช่วยสอนให้ลูกได้ปล่อยวางบ้าง กฎเกณฑ์การเลี้ยงลูกของคนๆ หนึ่ง จึงไม่เหมือนของอีกคนๆหนึ่ง
25. เมื่อคิดจะเสนอความคิดเห็นต่างๆ ที่มองว่าดี ต้องมองถึงความเป็นจริง ความเป็นไปได้ด้วยเสมอ
26. แต่ละคนมีศักยภาพของตัวเองอยู่แล้ว เราจึงควรต้องให้เกียรติต่อกันบ้าง
27. เมื่อเป็นคนก้าวร้าวคนอื่นไม่เป็น ก็มักจะถูกคนอื่นรุกรานได้ง่ายเช่นกัน
28. ถ้าเราเชื่อเรื่องกรรม การตายก็ไม่ใช่วิธีการหนีปัญหาได้ตลอดไป เนื่องจากกรรมนั้นๆ ยังไม่ได้ชดใช้ จนหมดวาระในตัวของมันเอง เกิดชาติหน้า กรรมเก่าก็จะติดตัวต่อไปอยู่ดี
29. การมองปัญหาในแง่มุมต่างกัน ในจุดต่างกันจะทำให้เข้าใจปัญหาได้ต่างกัน
30. เราจะให้อภัยตัวเอง กับผู้อื่นได้นั้น เราต้องเข้าใจในตัวเองและผู้อื่นได้ก่อน
31. การแก้ปัญหาทางบุคลิกภาพต้องอาศัยทั้งความจริงใจและการอดทนเป็นอย่างยิ่ง
32. ความเชื่อมั่นในตนเองเป็นเรื่องที่ดี แต่..ปัจจัยแห่งความสำเร็จนั้นก็หาได้ขึ้นอยู่กับเราคนเดียวไม่
33. เวลาที่พ่อแม่จะสะกิดฝีหนองให้ลูกนั้น พ่อแม่เองก็เจ็บปวดไม่น้อย
34. บางครั้งเราต้องการให้คนอื่นมาเข้าใจเรา มากกว่าที่เราอยากจะเข้าใจตัวเอง นั่นก็เพราะว่า เรายังเป็นมนุษย์ที่ยังมีความอ่อนแออยู่บ้าง
35. เรื่องที่คนเราประทับใจ มักจะลืมเลือนได้ยาก ก็เนื่องจากความประทับใจ ไม่ใช่ความจำนั่นเอง
36. จะมีเราอยู่.....เขาก็เป็นอย่างนั้น ไม่มีเราอยู่.....เขาก็เป็นอย่างนั้น
37. หากเขาคิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง จริงๆ แล้ว เราเป็นได้แค่เพียงตัวกระตุ้นเท่านั้น
38. ถ้าเราเรียนรู้ธรรมะด้วยเหตุผลเพียงอย่างเดียว เราจะสัมผัส "การรู้" ได้ยากยิ่ง
39. ความสับสนในชีวิดมันเกิด ควรหาที่ยึดเหนี่ยวให้จิตใจได้พักเสียบ้าง
40. เรื่องของชีวิต มันมีจังหวะที่ต้องรอคอยอยู่บ้าง จะเรียกร้องให้มันได้ดั่งใจเสมอไปได้อย่างไร ความจริงใจ หากถูกแปลเป็นแง่ลบแล้ว ใครยังอยากจะกล้าจริงใจให้อีก
41. เพราะความอยาก..มันถึงได้วุ่นวายกันเพียงนี้
42. ไม่ใช่ว่า ห้ามโกรธ แต่ให้รู้ว่าโกรธ ไม่ใช่แสดงความโกรธแต่ให้พูดออกมาว่าโกรธ
43. จิตและอารมณ์เป็นของแท้ ความคิด คือ ตัวปรุง
44. หากเชื่อว่า "การบ่น" จะทำให้ลูกนิสัยดีขึ้นก็น่าจะลองดู ในเมื่อความเป็นจริงนั้น "การบ่น" มักจะยิ่งทำให้ลูกแย่ลงมากกว่าเดิมเสียอีก
45. ใครเขาจะเป็นอย่างไรก็ช่าง มันอยู่ที่..เรารู้สึกอย่างไรด้วยต่างหาก
46. หากพ่อแม่คาดหวัง อยากจะให้ลูกเป็นคนดีนั้น พ่อแม่ต้องช่วยให้ลูกเป็นคนดีด้วย (อย่าเพียงแต่หวัง) 47. พ่อแม่ หากมีความรักลูกมากไปแล้ว ก็ยากที่จะสอนวินัยให้กับลูกได้ดี
48. การเข้าใจคนอื่นได้ เป็นเรื่องที่ดี การเข้าใจตนเองได้ยิ่งเป็นเรื่องที่ดี เรื่องที่แย่ และก่อให้เกิดทุกข์ได้มากก็ คือรู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจเราเลย
49. กังวล เกินกว่าเหตุ..เชื่อมั่น มากเกินไป..ล้วนเป็นสิ่งที่เราต้องรู้จักตนเองอยู่เสมอ
50. การเร่งแก้ปัญหา โดยรีบคิดให้ตกทันที จะยิ่งสร้างปัญหาทางอารมณ์ได้มากยิ่งขึ้น

ที่มาhttp://www.dhammajak.net/dhamma/50.html

วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2551



จะดูแลความรักได้อย่างไร
ดิฉันยังจำวันที่เดินทางมาถึงบ้านคุณพ่อคุณแม่ของสามีที่อังกฤษ หลังจากเราแต่งงานกันที่เมืองไทย ได้เพียงเดือนเศษๆ ตอนนั้น ดิฉันเริ่มตั้งครรภ์อ่อนๆ แล้ว มันเป็นวันหนึ่งในเดือนมกราคมที่อากาศหนาวมาก แต่ความหนาวของร่างกายในวันนั้น ยังไม่ได้เสี้ยวหนึ่งของความหนาวทางจิตใจที่ดิฉันกำลังจุ่มอยู่ในคืนนั้นดิฉันนั่งอยู่บนโซฟาเบื้องหน้าคนแปลกหน้าอันมีคุณพ่อคุณแม่น้องสาวและหลานสาว ที่กำลังเดินเตาะแต่ะ รวมทั้งสามีในห้องนั่งเล่นเล็กๆ ที่มีแผ่นเตาผิง ทำให้ร่างกายของดิฉันอบอุ่นมากขึ้น แต่ในจิตใจของดิฉันยังคงหนาวมากอยู่ ราวกับกำลังเดินฝ่าพายุหิมะด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่าอยู่ที่ขั้วโลกใต้เพียงคนเดียวทันใดนั้น ดิฉันก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยในหัวร้องตะโกนลั่นว่า“ตายแล้ว นี่เราได้ตัดสินใจทำสิ่งที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตแล้วหรือนี่” ความรู้สึกตอนนั้น อยากให้เหตุการณ์นั้นเป็นเพียงฝันร้ายที่ดิฉันสามารถตื่นขึ้นมาได้อีก อยากให้เป็นเช่นนี้ว่า เมื่อเปิดประตูห้องเล็กๆ นั้นออกมา จะสามารถเห็นหน้าครอบครัวของดิฉันอันมีพ่อแม่พี่น้องที่อบอุ่นอยู่รอบข้าง แทนที่จะเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักเหล่านี้ มันเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดมากสำหรับเจ้าสาวที่ควรยังอยู่ในบรรยากาศของฮันนีมูน ดิฉันไม่เคยนึกว่าชีวิตแต่งงานจะไปรอดจนถึงบัดนี้เวลาก็ได้ผ่านไปแล้วถึง 25 ปีสิ่งที่แน่นอนของชีวิตมนุษย์คือ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ดังที่ชาวพุทธมักพูดว่า ทุกอย่างเป็นอนิจจัง โดยเฉพาะความรู้สึกของคนเรา ยิ่งเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ง่ายมาก วันนี้อาจจะรู้สึกมั่นใจเหลือเกินว่าสิ่งที่เราตัดสินใจทำลงไปนั้นถูกต้องล้านเปอร์เซนต์ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป มีเหตุการณ์ที่เราไม่เคยคาดคิดมาก่อนเกิดขึ้น กลับไม่แน่ใจในการกระทำของตนเองเสียแล้ว โดยเฉพาะการแต่งงานซึ่งเป็นการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิต ไม่ว่าเราจะแต่งงานด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ และหากมีลูกด้วยกันแล้ว เราไม่สามารถย้อนเข็มนาฬิกากลับได้อีกต่อไป ไม่สามารถเอาคู่ครองและครอบครัวของเรากลับคืนให้ใครได้ สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดคือ การดูแลครอบครัวของเราให้เจริญงอกงามด้วยความรัก ความอบอุ่น พยายามสร้างสิ่งสวยงามให้เกิดขึ้น เพราะเมื่อถึงยามแก่เฒ่าแล้ว สิ่งมีค่าที่สุดสำหรับชีวิตของเราคือ เหตุการณ์อันเนื่องกับความทรงจำในอดีตเท่านั้นที่จะเป็นน้ำหล่อเลี้ยงให้ชีวิตมีชีวาขึ้นมาได้ หากชีวิตครอบครัวของเราเต็มไปด้วยเหตุการณ์ที่มีแต่ความสุขแล้วละก็ เราในฐานะที่เป็นพ่อหรือแม่ก็สามารถภูมิใจในตนเองได้ว่า เราเป็นผู้สร้างสิ่งงดงามเหล่านั้นขึ้นมา แต่หากรูปการณ์เป็นไปในทางตรงกันข้ามแล้ว ชีวิตในยามแก่เฒ่าของเราย่อมเต็มไปด้วยความเสียใจ ขมขื่น รู้สึกสำนึกผิด และสิ่งที่มักจะพูดกับตนเองคือ ถ้าหากสามารถย้อนเข็มนาฬิกาได้แล้วละก็ จะทำทุกอย่างที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เราได้ทำไป ซึ่งแน่นอน เราไม่สามารถย้อนเข็มนาฬิกาได้อีกแล้วฉะนั้น ในฐานะที่ดิฉันได้ใช้ชีวิตแต่งงานซึ่งเป็นทั้งภรรยาและแม่คนมาถึง 25 ปีแล้ว ย่อมมีประสบการณ์ชีวิตเพียงพอที่จะเผื่อแผ่แก่เด็กๆ ที่กำลังจะก้าวย่างเข้ามาสู่การมีความรัก มีคู่ครองและมีครอบครัว เราควรที่จะดูแลรักษาคู่ครองและลูกๆ ของเราอย่างไร จึงจะทำให้ความรักภายในครอบครัวเจริญเติบโต งอกงามขึ้นมาได้ เพื่อเราจะได้มีสิ่งสวยงามไว้เชิดชูจิตใจของเราในยามแก่เฒ่า การฟังคำแนะนำของผู้มีประสบการณ์ชีวิตมากกว่า ย่อมเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และเป็นปัจจัยที่จะทำให้ชีวิตคู่ของเราประสบความสำเร็จมากขึ้นความรับผิดชอบฝรั่งมีคำพูดว่า You made your bed, you lay on it. คุณเป็นคนปูที่นอน คุณก็นอนซะสิ ซึ่งหมายถึงการรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง สำนวนนี้มักใช้กับหนุ่มสาวที่เพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆ หรือมีลูกคนแรก และเริ่มพบปัญหาชีวิต จึงรู้ว่าชีวิตแต่งงานไม่ได้หวานชื่นและสวยงามเหมือนทางที่โรยด้วยดอกกุหลาบ อยากเดินหนีไปให้ไกลที่สุด เมื่อมีโอกาสได้คุยกับพ่อแม่ของตนเองแล้วละก็ มักจะได้ยินประโยคนี้เสมอว่า “เธอได้ปูที่นอนแล้ว ก็ต้องนอนซะสิ” คือ พยายามบอกให้ลูกของตนรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง การรับผิดชอบนี้เป็นคุณธรรมที่สำคัญมากที่สุดที่จะทำให้ชีวิตคู่ดำเนินไปได้ตลอดรอดฝั่ง และเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ความรักเจริญงอกงาม และพบความสวยงามของชีวิตได้ในกาลต่อมาชีวิตแต่งงานโดยเฉพาะในช่วง 3-5 ปีแรกนั้น ย่อมเป็นเรื่องท้าทายมาก เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะพิสูจน์ความดีที่ซ่อนอยู่ในจิตใจของทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีลูกเล็กเข้าไปแล้ว ความหวานชื่นที่คนสองคนเคยดูแลและเอาใจซึ่งกันและกันย่อมมีน้อยลง แทนที่ด้วยภาระหน้าที่การงานอันหนักหน่วงเพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูแลครอบครัวของตนเอง ชายหญิงที่สามารถรับผิดชอบต่อการเลี้ยงดูภรรยา สามี และลูกของตนเองได้ตลอดรอดฝั่งนั้น ต้องยกย่องว่านั่นเป็นการประสบความสำเร็จของการเป็นมนุษย์ที่น่าพอใจมากในระดับหนึ่งทีเดียว นี่จะเป็นสิ่งงดงามสิ่งแรกในชีวิตแต่งงานที่เหลือไว้ให้มองกลับได้ในยามแก่เฒ่าโดยสถิติที่เกิดขึ้นในสังคมส่วนมากแล้ว หญิงมักจะเป็นฝ่ายที่ถูกชายทอดทิ้งและต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูลูกขึ้นมาด้วยลำแข้งของตนเอง ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ผู้ชายยังต้องเรียนรู้เรื่องการรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเองมากขึ้น เพื่อจะได้อย่างน้อยที่สุดก็ตายเป็นสุข ไม่มีอะไรค้างคาใจตนเองอยู่เห็นแก่ตัวเองน้อย เห็นแก่คนอื่นมากดิฉันคงมีอายุราว 8 ขวบ จำได้ถึงวันที่กลับจากโรงเรียนแล้วคุณแม่เรียกให้ไปทานขนมไหว้พระจันทร์ชิ้นหนึ่งที่มีไส้ทุเรียน และมีไข่แดงติดมาเสี้ยวหนึ่งได้อย่างแม่นยำ แม่บอกว่า เพื่อนบ้านเอามาให้ ซึ่งขนมไหว้พระจัดจัดเป็นขนมที่แพงสำหรับฐานะครอบครัวของดิฉัน ดิฉันจึงไม่มีโอกาสได้ทานบ่อยนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขนมชนิดนี้จะมีเพียงปีละครั้งเท่านั้น ไม่ได้ทำขายตลอดทั้งปีอย่างสมัยนี้ เมื่อได้ยินว่ามีขนมไหว้พระจันทร์อยู่ในบ้าน จึงรีบนำมาทานอย่างเอร็ดอร่อย จำไม่ได้ว่า ทำไมวันนั้น จึงมีเพียงดิฉันกับคุณแม่เท่านั้นที่อยู่บ้าน ในขณะที่กำลังทานขนมอย่างอร่อยสุด ๆ อยู่นั้น ก็สะดุดนึกขึ้นมาได้ทันทีว่า หากมีขนมไหว้พระจันทร์แค่ชิ้นนี้ชิ้นเดียวอยู่ในบ้านละก็ เราคงจะทานมันหมดก่อนทันที ไม่เหลือไว้ให้ใคร นั่นเป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสถึงความรักที่แม่มีต่อลูกอย่างแท้จริง หลังจากนั้น ดิฉันก็เฝ้าสังเกตเรื่อยมา แม่มักจะบอกให้พวกเราลูกๆ ทานข้าวที่เพิ่งหุงใหม่เสมอ และแม่จะทานข้าวที่เหลือค้างจากเมื่อวานเอง คนที่เห็นแก่ตัวคงเป็นแม่ที่ดีให้คนไม่ได้ เพราะคงไม่มีขนมในบ้านเหลือให้ลูกทานแน่นอนคนที่จะรับผิดชอบต่อคนอื่นนอกเหนือจากตนเองแล้ว คุณสมบัติสำคัญที่บุคคลผู้นั้นต้องมีคือ เห็นแก่ตัวเองน้อย เห็นแก่ผู้อื่นมาก คนที่ไม่เห็นแก่ตัวเองเท่านั้น จึงจะสามารถรักคนอื่นได้อย่างแท้จริง การเอาความเห็นแก่ตัวออกจากตนเองเป็นสิ่งที่เป็นมงคลกับตนเองก่อน และผู้อื่นก็จะได้ความเป็นมงคลนั้นจากเราไปอีกทอดหนึ่งความไม่เห็นแก่ตัวต้องถือเป็นคุณธรรมหลักในการดูแลความรักให้เจริญเติบโต งอกงาม ซึ่งคุณธรรมข้อนี้จะต้องเริ่มจากผู้เป็นพ่อแม่ก่อน จึงจะถ่ายทอดให้ลูกได้ พอไม่เห็นแก่ตัวแล้ว คุณธรรมย่อยๆ ก็ตามมา เช่น ความอ่อนโยน สงสาร เมตตา เกรงใจ ห่วงใย ให้เกียรติและไม่ทำร้ายน้ำใจซึ่งกันและกัน อดทน ดูแลกัน เขาสุข เราก็ดีใจกับเขาอย่างแท้จริง เขาทุกข์ เราก็ทุกข์ร้อนด้วย ช่วยเขา อยากให้เขาเป็นสุข เครื่องปรุงเหล่านั้นจะเกิดขึ้นมาได้ ก็ต้องเริ่มจากการละตัวตน หรือละทิ้งความเห็นแก่ตัวเองทั้งสิ้น ล้วนเป็นเรื่องการเห็นแก่ความสุขของผู้อื่นก่อน จึงจะทำได้ ซึ่งธรรมชาติหัดให้มนุษย์เริ่มทำกับคนรอบข้างที่เรารักก่อน เช่น พ่อแม่ พี่น้อง สามี ภรรยา และลูกๆ ของเรา ซึ่งทำได้ง่ายกว่ากับคนที่ไม่มีความสัมพันธ์ฉันครอบครัว อย่าง เพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน คนแปลกหน้า ตลอดจนถึงเพื่อนร่วมโลกในอีกแง่หนึ่ง เราสามารถมองคุณสมบัติเหล่านี้เหมือนเครื่องปรุงย่อยๆ แต่สำคัญมาก ที่จะทำให้เกิดอาหารจานสำเร็จที่เรียกว่า “ความรัก” หากเปรียบเทียบกับการปลูก “ต้นรัก” แล้ว คุณสมบัติย่อยๆ เหล่านี้ก็เหมือนการลดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย เพื่อดูแลให้ต้นรักนี้เจริญเติบโตงอกงามขึ้นมาได้ ทำให้มีสิ่งสวยสดงดงามให้เราได้มองย้อนกลับและภูมิใจได้ในยามแก่เฒ่าไม่อิจฉาเมื่อเราเห็นแก่ตัวเองน้อยลงแล้ว ความรู้สึกอิจฉาจะน้อยลงด้วย สามีภรรยาที่ยังมีความอิจฉาซึ่งกันและกันแล้ว มักจะมีความตึงเครียดและอาจถึงขั้นที่อยู่ด้วยกันไม่รอด เมื่อฝ่ายหนึ่งประสบความสำเร็จไม่ว่าจะในเรื่องอะไรก็แล้วแต่ คนที่ไม่เห็นแก่ตัวเท่านั้นจึงจะดีใจกับความสำเร็จของคู่ครองได้อย่างแท้จริง ความอิจฉาในคู่ครองหรือแม้ในลูกของตนเองนั้น เป็นสิ่งที่น้อยคนจะยอมรับอย่างเปิดเผยกับตนเอง ไม่ต้องพูดถึงการยอมรับกับคนอื่นเลย ซึ่งหากใครยังมีความรู้สึกอิจฉาอยู่ในส่วนลึกของหัวใจแล้วละก็ ย่อมหมายความว่า เรายังไม่ได้ดูแลความรักของเราให้เจริญงอกงามอย่างเต็มที่ สิ่งนี้จะกลายเป็นเรื่องที่ติดตัวและคาใจตัวเองในยามแก่เฒ่า ฉะนั้น ใครที่อยากสำรวจตัวเองว่าสามารถรักคู่ครองและครอบครัวของเราได้จริงหรือไม่นั้น ก็ควรดูความรู้สึกอิจฉาของตนเองทุกครั้งที่คู่ครองของเราประสบความสำเร็จพูดโดยสรุปแล้ว เสียงที่ก้องอยู่ในหัวที่มักบอกว่า “นี่ของฉัน” “นี่ความเจ็บปวดของฉัน” “นี่ควรเป็นการได้หน้าได้ตาของฉัน” หรือ เสียงอะไรก็ได้ที่มักเน้นว่า “ของฉัน” เสียงเหล่านี้ในหัวต้องค่อยๆ น้อยลงไปหากใครอยากให้ชีวิตครอบครัวประสบความสำเร็จจนถึงขนาดถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชรในความเห็นของดิฉันแล้ว ความไม่เห็นแก่ตนเองต้องนับว่าเป็นสิ่งที่สวยสดงดงามมากที่สุดของชีวิต นี่เป็นคุณสมบัติเด่นที่ทำให้ชีวิตแต่งงานของดิฉันอยู่รอดมาได้ถึงทุกวันนี้Problem shared, Problem halvedเคยสงสัยว่าทำไมพ่อแม่จึงอยากให้แต่งงาน มีคู่ครอง เพราะสาเหตุหนึ่งเป็นเรื่องของสองหัวดีกว่าหัวเดียว ตรงกับคำพังเพยของฝรั่งว่า Problem shared, Problem halved หมายความว่า เมื่อมีการเล่าปัญหาหนักอกให้ฟังซึ่งกันและกันแล้ว ปัญหานั้นจะน้อยลงไปครึ่งหนึ่งทันที นี่คงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ธรรมชาติสร้างชีวิตคู่มาให้มนุษย์ เพราะการแบกปัญหาไว้คนเดียวย่อมหนักกว่าสองคนแบก ปัญหาของมนุษย์มีทุกเมื่อเชื่อวัน ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น วันนี้ทำผมอย่างไรก็ไม่ถูกใจเสียที ส่องกระจกทีไร ก็เห็นแต่คนขี้เหร่ ไปจนถึงเรื่องใหญ่ๆ เช่น การทำมาหารับประทาน เจ็บไข้ได้ป่วย เรื่องคอขาดบาดตาย หากใครมีคู่ครองที่สามารถพูดกันได้อย่างเปิดหัวใจกันแล้ว ต้องนับว่าเป็นความสวยสดงดงามอย่างหนึ่งของชีวิต และเป็นเรื่องที่โชคดีมากของคนๆ นั้น เพราะเพียงการได้คุยถึงปัญหาของเราอย่างเปิดอกเท่านั้น ความเจ็บปวด ความหนักที่เหมือนแบกภูเขาในอกก็จะค่อยๆ คลายไปเอง เป็นการแก้ปัญหาชีวิตทางหนึ่งที่ง่ายดายมากหากมีคู่ครองที่พึ่งพาหูของกันและกันได้ นี่เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ชีวิตคู่ไปได้ตลอดรอดฝั่งโดยเฉพาะมาถึงเรื่องการเลี้ยงลูกด้วยแล้ว ธรรมชาติสร้างชีวิตคู่มาให้มนุษย์เพราะต้องการให้คนสองคน ดูแลมนุษย์อีกคนหนึ่งให้เจริญเติบโต ขึ้นมาได้จนถึงจุดที่เขาสามารถรับผิดชอบดูแลตัวเองได้ การเลี้ยงลูกคนเดียวไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ใช่เป็นความต้องการของธรรมชาติ ฉะนั้น หากใครมีคู่ครองและมีลูกด้วยกันแล้วละก็ ควรพยายามรักษาความรักของตน ดูแลน้ำใจของกันและกันให้ดี ต้องรู้ว่า นี่เป็นความโชคดีอย่างมหาศาลของตนเองแล้ว ต้องพยายามละความเห็นแก่ตัว และประคับประคองชีวิตครอบครัวให้ตลอดรอดฝั่ง อย่าทิ้งสิ่งมีคุณค่าเหล่านี้เพียงเพราะอยากลองของใหม่ที่น่าตื่นเต้นมากกว่า เพราะจะทำให้เสียใจภายหลัง อย่าลืมว่า เราไม่สามารถย้อนเข็มนาฬิกาได้แล้ว พ่อแม่คู่ใดที่สามารถให้กำเนิดและดูแลลูกเต้าของตนเองจนเติบใหญ่ รับผิดชอบต่อตนเองและยังเป็นคนดีของสังคมแล้ว ต้องนับว่า พ่อแม่คู่นี้ประสบความสำเร็จในการเป็นมนุษย์ในระดับที่น่าพอใจยิ่ง จะเป็นสิ่งที่ตนเองภูมิใจได้ในยามแก่เฒ่าต้องเข้าใจความเป็นอนิจจังทุกอย่างเป็นอนิจจัง ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความทุกข์ ตื่นเต้น หรือเจ็บปวด เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้อยู่ยงคงกระพัน มันเปลี่ยนแปลง จากสุขก็กลายเป็นทุกข์ และกลายเป็นสุขและทุกข์อีก จากความตื่นเต้น ก็กลายเป็นความเบื่อหน่าย แล้วก็ตื่นเต้นเบื่อหน่ายอีก อยู่อย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี่เป็นภาพรวมที่ผู้ผ่านประสบการณ์ชีวิตมากเท่านั้นจึงจะดูออก เป็นความรู้ที่มากับอายุ ยิ่งมีอายุมากขึ้น ก็จะยิ่งดูออกว่าชีวิตมันก็แค่นี้เองฉะนั้น การจะทำให้ชีวิตคู่ประสบความสำเร็จมากขึ้นนั้น เจ้าของชีวิตจะต้องรู้จักอดทนเมื่อถูกมรสุมชีวิตพัดกระหน่ำ ต้องพยายามแก้ปัญหาด้วยความอดทนและเห็นแก่ตัวน้อยที่สุด ต้องรู้ว่าเหตุการณ์ที่เจ็บปวดเหล่านั้นจะไม่อยู่เช่นนั้นตลอดไป มันจะเปลี่ยนแปลง และดีขึ้นได้ หากให้เวลากับมัน จึงไม่ควรตีโพยตีพายหรือตัดช่องน้อยแต่พอตัว หลบหนีปัญหาโดยเอาตัวเองให้รอดก่อน ใครที่ทำเช่นนี้ ย่อมไม่ได้สร้างสิ่งงดงามในชีวิตให้ตนเองได้ชื่นชมในยามแก่เฒ่า นอกจากนั้น หากมีเหตุการณ์ที่นำความสุข ตื่นเต้น หวือหวา เดินผ่านหน้าบ้านของเราแล้ว ก็ต้องรู้เช่นกันว่า เหตุการณ์นั้นจะไม่อยู่ยงคงกระพัน มันจะต้องหายไป จึงไม่ควรพาใจตนเองเข้าไปกอดรัดอย่างเต็มที่ราวกับว่ามันจะอยู่อย่างถาวร เพราะเมื่อมันผ่านไปแล้ว เราจะได้ไม่เจ็บปวดและโหยหา แต่จะทำให้เราฉลาดขึ้น เพราะนี่คือชีวิต ไม่มีอะไรคงทนถาวรสักสิ่งเดียว ลูกเล็กๆ ที่เคยน่ารัก ไร้เดียงสา ว่านอนสอนง่ายนั้น สักวันหนึ่ง ความไร้เดียงสาเหล่านั้นต้องหมดไป ในที่สุด เขาต้องแต่งงาน ออกจากบ้านและสร้างรังใหม่ สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดคือ ยอมรับทุกอย่างที่มาปะทะเราด้วยจิตใจที่หนักแน่น ไม่ว่าจะเป็นสุขหรือทุกข์ ต้องพยายามเข้าใจกฎสากลของธรรมชาติอันคือ ความเป็นอนิจจังของสรรพสิ่งต้องรู้จักตักตวงความสุขที่แท้จริงความสุขที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การจินตนาการถึงอนาคตที่อาจเป็นไปตามที่เราคาดหวังไว้ เช่น ขอให้มีพร้อมทุกอย่างก่อน ขอให้ลูกโตก่อน เรียนจบก่อน ทำงานได้ก่อน แต่งงานก่อน มีหลานก่อน จึงจะเป็นสุข นั่นเป็นการคิดถึงความสุขอย่างลมๆ แล้งๆ โดยลืมคิดถึงตัวแปรที่สำคัญคือ ความเป็นอนิจจังของสรรพสิ่ง รวมถึงความตายที่อาจมาถึงตัวเราและคนที่เรารักในวันพรุ่งนี้ ความสุขที่แท้จริงอยู่ข้างหน้า ที่นี่ เดี๋ยวนี้ เสมอ อยู่ที่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นอย่างจำเจในชีวิตประจำวัน เช่น ตื่นขึ้นมาทุกเช้าได้เห็นใบหน้าของคู่ครอง ได้เห็นหน้าลูก เห็นหน้าพ่อแม่ พี่น้อง ที่ดูเหมือนจำเจ แต่ที่จริงแล้ว สิ่งเหล่านี้ได้ซ่อนความสุขที่ลึกซึ้งของชีวิตไว้มากทีเดียวคนที่จะซาบซึ้งและเห็นคุณค่าของใบหน้าเก่าๆ ที่เราเห็นจำเจทุกวันได้ คือ คนเดินทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากใครเคยไปติดอยู่ในสนามบินที่ไม่ใช่ของบ้านเราเพียงคนเดียว ในท่ามกลางคนแปลกหน้ามากมายที่อยู่รอบข้างนั้น จะรู้ได้ทันทีว่า ใบหน้าที่เราเห็นจำเจนั้นมีคุณค่าต่อเรามากเพียงใด และหากได้เห็นในขณะนั้น จะมีความสุขมากเพียงใดคนที่เข้าใจถึงความลึกซึ้งของความสุขเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ จะสามารถสร้างสิ่งที่อบอุ่นและสวยงามให้เกิดขึ้นภายในครอบครัวได้ ดิฉันเห็นว่า การล้อมวงทานข้าวด้วยกัน และคุยเรื่องสัพเพเหระได้นั้น เป็นทรัพย์สมบัติที่มีค่าทางจิตใจชิ้นหนึ่งที่สมาชิกในครอบครัวสามารถสร้างให้กันและกันได้ และจะเป็นสมบัติทางจิตใจชิ้นสำคัญที่หล่อเลี้ยงให้ชีวิตในวัยชรามีความสุขได้อย่างไม่จบสิ้น เป็นการลงทุนที่ไม่ต้องใช้เงินแม้แต่บาทเดียวเมื่อใดที่รักตัวเองน้อยลง เมื่อนั้นจึงจะรักผู้อื่นได้มากขึ้นด้วยความเมตตาศุภวรรณ

วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2551



ค ว า ม ผู ก พ ัน
โดย รศ.พญ.จิรพรรณ มัธยมจันทร์***************
ความผูกพัน หมายถึง การเกาะเกี่ยวกันทางใจด้วยความรักหรือความโกรธเกลียด หรือความหลง ทำให้ปล่อยวางหรือลืมเรืองนั้นเสียไม่ได้ สิ่งนั้นก็จะเกาะติดอยู่ในใจติดตามตัวไปทุกแห่งทุกหน ทำให้หาความผาสุก ความเป็นอิสระไม่ได้ เหมือนขาที่ถูกคล้องไว้ด้วยโซ่ตรวน ย่อมจะหนักและเดินลำบาก การมีความผูกพันกับสิ่งใด คนใด เรื่องใด ก็ไม่ต่างกับการมีโซ่ตรวนล่ามขาอยู่ฉะนั้น การผูกพันกันด้วยความรัก ใช่ว่าจะทำให้เกิดความสุขเสมอไป เมือมีความรักก็ย่อมมีความห่วงใยเป็นธรรมดา อยากให้คนที่ตนรักเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หรือไม่เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ความอยากของคนเราใช่ว่าจะได้ดังที่อยากเสมอไปก็หาไม่ บางครั้งก็ไม่สมอยาก พระพุทธองค์จึงได้ทรงตรัสสอนว่า "ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง แปลว่า ปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้น นั่นก็เป็นทุกข์" ผูกพันด้วยความโกรธ ความเกลียด โดยไม่ละ ไม่วาง ยังผูกใจเจ็บแค้นกันอยู่ตลอดเวลา ก็เหมือน เอาโซ่ตรวนล่ามกันไว้เช่นกัน การที่จะอธิษฐานจิตว่า "เกิดชาติใดขออย่าให้ได้พบได้เจอคนอย่างนี้อีกเลย" ก็คงเป็นเรื่องยาก เพราะใจเราผูกพันกับเขาด้วยความโกรธ ความเกลียด ความชิงชังอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยแกะโซ่ตรวนที่ล่ามติดกับเขาไว้ แล้วจะพ้นจากคนที่เราไม่ชอบได้อย่างไร ตราบใดที่ยังไม่แกะโซ่ตรวนออกก็ต้องตามผจญกรรมกันไปทุกภพทุกชาติ ไม่ว่าจะอธิษฐานอย่างไร ถ้าไม่ชอบใคร ไม่อยากเจอใคร ต้องทำใจไม่ให้นึกถึงคนนั้น เรื่องเกี่ยวกับคนนั้น หรือถ้านึกถึงก็ให้น้อยที่สุด ยิ่งอโหสิกรรมหรือให้อภัยกันเสีย ก็จะมีโอกาสหนีพ้นจากกัน เปรียบเหมือนแกะโซ่ตรวนออกแล้ว ก็ย่อมเป็นอิสระ ไม่ต้องไปเผชิญเวรเผชิญกรรมกันอีกทุกภพทุกชาติ ยิ่งทำดี มีเมตตากรุณากับผู้ที่เราไม่ชอบ ผลแห่กรรมดีที่เรากระทำยิ่งสูงกว่าคนที่เราไม่ชอบเท่าใด ภพ ภูมิก็จะต่างกันเท่านั้น ยิ่งเกลียด ยิ่งไม่อยากเห็นหน้ากัน ก็อย่าฝังใจอยู่ทุกวี่วัน ยิ่งจะดึงเขาเข้ามาหาเรามากขึ้นเท่านั้น จึงต้องตามผจญกันไปทุกชาติ อยากให้พ้นจากใคร ก็จงให้อภัยทาน จะได้หมดเวรหมดกรรมกัน การผูกพันด้วยความหลง เป็นเรื่องหนักกว่าเพื่อน เพราะผู้ที่มีความหลงก็คือ เห็นสิ่งที่ผิดเป็นถูก เห็นสิ่งที่ไม่งามเป็นสิ่งที่งาม ฯลฯ ที่โบราณเรียกว่า "เห็นกงจักรเป็นดอกบัว" คือเห็นสิ่งที่เป็นอันตราย (กงจักรเป็นอาวุธที่อันตราย) ว่าเป็นของที่น่ารัก น่าบูชา แม้ใครจะบอก ใครจะเตือน ก็ไม่สามารถจะเอาชนะความงมงายหรือความหลงได้ ผู้ที่มีความผูกพันด้วยความหลง จึงจัดเป็นผู้ที่น่าสงสารที่สุด จะอยู่ในสภาพที่เรียกว่า "มดไต่ขอบกระด้ง" หาทางออกไม่ได้ ก็วนเวียนอยู่อย่างนั้นไม่รู้จบ ชีวิตที่มีความผูกพันกับสิ่งใดมากเกินไป ไม่เคยให้ความสุขแก่ผู้ใดเลย รักมากก็ห่วงมาก กลุ้มมาก เกลียดมากก็ร้อนใจมาก จะเห็นว่าล้วนเป็นบ่อเกิดแหงทุกข์ทั้งสิ้น
การเดินสายกลาง อย่าไปผูกพันยึดติดกับสิ่งใด และรู้จักปล่อยวาง จะเป็นหนทางดับทุกข์ได้ ยกตัวอย่างง่าย ๆ ถ้าเราเลี้ยงสุนัข เรารักเขามาก ผูกพันกับเขาเหลือเกิน แต่อายุขัยของสุนัขน้อยกว่าคนมาก จึงมักตายก่อน เจ้าของผู้มีความผูกพันกับสุนัขตัวนั้น ก็จะเศร้าสร้อยไปพักหนึ่งทีเดียว ความรักความปรานีเราจะให้แก่ใครก็ได้ และเป็นสิ่งที่ควรให้ แต่การผูกพัน การยึดติดนั้นเป็นเรื่องอันตราย เป็นเหตุแห่งทุกข์ ไม่อยากมีทุกข์ ก็อย่ายึดติด หรือผูกพันกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด รู้จักปล่อยวาง รู้จักหาอิสรภาพให้แก่ตนเอง จะเป็นสุขในที่สุด...

http://www.dhammajak.net/dhamma/67.html

เหตุแห่งความรัก

เหตุแห่งความรัก (โดยคุณอังคาร) ปุถุชนผู้ยังละกิเลสไม่ได้ เกิดมาก็ย่อมต้องมีความรักทั้งหญิงและชาย พระพุทธเจ้าทรงแสดงเหตุที่ทำให้หญิงชายรู้สึกรักกันไว้ใน สาเกตชาดก พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๙ ดังนี้ “ ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เหตุไรหนอ เมื่อบุคคลบางคนในโลกนี้พอเห็นกันเข้าก็เฉย ๆ หัวใจก็เฉย บางคนพอเห็นกันเข้า จิตก็เลื่อมใส ” “ ความรักนั้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ ด้วยการอยู่ร่วมกัน ในกาลก่อน ๑ ด้วยความเกื้อกูลต่อกันในปัจจุบัน ๑ ” เหมือนดอกอุบลและชลชาติ เมื่อเกิดในน้ำ ย่อมเกิดเพราะอาศัยเหตุ ๒ประการ คือน้ำและเปือกตม ฉะนั้น ” จึงจะเห็นว่าการที่หญิงชายมารักกัน ชอบกัน และอาจได้อยู่ร่วมกันนั้นไม่ใช่เหตุบังเอิญ แต่มีปัจจัยมาจาก ๒ ประการดังที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเหตุให้รู้ แต่ก็ยังมีข้อสงสัยที่เกี่ยวเนื่องกับความรัก คู่ครอง เนื้อคู่ ฯลฯ อีกมากมาย คู่ บุพเพสันนิวาส คือ การได้เคยอยู่ร่วมกันในอดีตชาติ จนส่งผลให้ได้มาเป็นคู่ครองกันในปัจจุบัน ซึ่งส่วนใหญ่จะคิดว่าเคยอยู่ร่วมกันเป็นสามีภรรยาเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วบุพเพสันนิวาสหมายถึงการที่อาจจะได้อยู่ร่วมกันในฐานะอื่นก็ได้ เช่น พี่กับน้อง พ่อกับลูก แม่กับลูก เพื่อครูกับศิษย์ นายกับบ่าว เป็นต้น การที่มีบุพเพสันนิวาสร่วมกันนี้เมื่อเกิดมาร่วมกัน ก็มักจะสร้างบุญสร้างกุศลร่วมกันมา ทำอะไรตามกัน มีความเห็นสอดคล้องกัน ทำให้อยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข เนื้อคู่ คือ หญิงและชายที่เคยได้ใช้ชีวิตร่วมกัน เป็นสามีภรรยากันมาก่อนในอดีตชาติ คู่ครอง คือ หญิงและชายที่ใช้ชีวิตร่วมกัน เป็นสามีภรรยากันในชาติปัจจุบัน คู่กรรม คือ หญิงและชายที่ใช้ชีวิตร่วมกันเป็นสามีภรรยา แต่มักไม่มีความสุข เนื่องจากการมาอยู่ร่วมกันนั้นเกิดจากวิบากของกรรมที่ทำร่วมกันหรือวิบากกรรมที่มีต่อกันมาส่งผล เช่น อาจเคยทำบาปร่วมกัน หรือเคยเป็นศัตรูกันมาก่อนเป็นต้น คู่บารมี คือ เนื้อคู่ที่ได้ติดตามกันมา ส่งเสริมกันและกันในทางที่ดี ได้ใช้ชีวิตร่วมกันในฐานะสามีภรรยาร่วมกันนับชาติไม่ถ้วน และจะติดตามกันต่อไปจนกว่าจะสามารถหลุดพ้นจากวัฏสงสารได้ มักใช้คำนี้กับพระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญบารมีกับเนื้อคู่ลำดับ ๑ ที่จะได้เป็นคู่ครองกับในชาติสุดท้าย เหตุแห่งการได้อยู่ร่วมกัน ดังที่พระพุทธองค์ได้แสดงเหตุที่หญิงชายได้รักและได้เป็นสามีภรรยากันนั้นมี ๒ ปัจจัย คือ • การได้อยู่ร่วมกันในกาลก่อน • การได้เกื้อหนุนกันในชาติปัจจุบัน เนื่องจากวัฎสงสารยาวไกลจนหาจุดเริ่มต้นและที่สุดไม่ได้ หญิงชายแต่ละคนจึงมีเนื้อคู่มากมายเป็นแสนคน แต่ละชาติที่เกิดมาก็อาจได้พบเจอเนื้อคู่ได้หลาย ๆ คนพร้อมกัน หรืออาจไม่ได้เจอเนื้อคู่เลยสักคนก็เป็นได้ กรณีที่ไม่เจอเนื้อคู่เลยนั้น หญิงชายนั้นก็อาจมีคู่ได้กับบุคคลใกล้ชิดที่ได้เกื้อหนุนกันในปัจจุบัน ซึ่งเมื่อได้เป็นคู่กันในปัจจุบันแล้วหญิงชายนั้นก็จะได้เป็นเนื้อคู่กันต่อไป ลำดับของเนื้อคู่ เพราะเหตุที่แต่ละคนมีเนื้อคู่จำนวนมากมาย จึงเป็นที่น่าสงสัยว่าแล้วใครกันเล่าที่สมควรจะได้อยู่เป็นคู่ครองกันมากที่สุด และจะมีวิธีการเลือกอย่างไร แม้จะมีเนื้อคู่จำนวนมากมาย แต่จะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เมื่ออยู่ร่วมกันแล้วมีความสุขที่สุด เมื่อพบหน้ากันแล้วไม่อาจตัดใจรักให้ขาดจากกันได้ บุคคลนี้คือเนื้อคู่ที่ได้อยู่ร่วมกันมามากที่สุดเป็นแสนเป็นล้านชาติ เป็นเนื้อคู่ลำดับที่ ๑ กฎแห่งกรรมจะจัดสรรการมีคู่ไว้ให้เราเรียบร้อย คือ หากเรามีเนื้อคู่เกิดมาพร้อมกัน ใจเราจะเป็นผู้เลือกเนื้อคู่ลำดับต้นเสมอ เมื่อเลือกแล้วคู่ลำดับอื่นเขาจะหลีกทางและไปหาคู่ของเขาต่อไป แต่กฎแห่งกรรมอีกเช่นกัน ที่บางชาติ กลับทำให้คู่ลำดับต้น ๆ ได้มาพบกันทีหลังหลังจากที่อีกฝ่ายได้เลือกคู่ครองไปแล้วซึ่งแม้จะได้พบกันทีหลัง แต่เพราะเป็นคู่ลำดับต้น จิตใจของทั้งคู่ก็จะร้อนรนทนไม่ไหว จึงต้องรักกันอีกครั้งซึ่งความรักครั้งนี้ต้องหัก ต้องบังคับฝืนใจกันอย่างเต็มกำลัง กล่าวกันว่าแม้พระภิกษุผู้มั่นคงในศีล เมื่อได้เจอเนื้อคู่ลำดับต้น ๆ ยังทนไม่ได้ ต้องสึกหาลาเพศมาอยู่กับเนื้อคู่ของตนจนได้ เหตุที่เนื้อคู่ลำดับต้นมาเกิดในชาติภพเดียวกัน แต่กลับไม่สมกันนั้น มีเหตุเดียว คือ กรรมพลัดพรากได้มาส่งผลเป็นวิบากแก่ทั้งคู่อย่างร้ายแรง หากกรรมนั้นใกล้จะหมดผลเขาทั้งสองก็อาจได้เป็นคู่ครองกันในชาตินั้น แต่หากกรรมนั้นยังรุนแรงอยู่ทั้งสองก็ต้องทนทุกข์ทรมานชดใช้กรรมนั้นให้หมด แล้วจึงจะได้มีวาสนาอยู่ร่วมกันในชาติต่อ ๆ ไป เหตุที่อกหักผิดหวังในความรัก นอกจากการผิดหวังจากเนื้อคู่ลำดับต้น ๆ ซึ่งเกิดจากกรรมพลัดพรากแล้ว บางครั้งคนเราก็อาจต้องผิดหวังในความรัก โดยมีเหตุมาจากกรรมทั้งสิ้น คืออยู่กับคู่ครองไม่มีความสุข ทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นประจำหรือมีปัญหาให้ทุกข์ใจตลอด เหตุที่เป็นดังนี้ แสดงว่าคู่ครองนั้นไม่ใช่เนื้อคู่ลำดับที่ ๑-๕ เนื่องจากกรรมจากการเป็นคนไม่ดี ไม่มีศีลธรรมส่งผลให้ไม่ได้พบเนื้อคู่ลำดับต้น ๆ หรืออาจเป็นเพราะทั้งสองไม่ใช่เนื้อคู่กัน แต่ทั้งคู่เป็นศัตรูคู่อาฆาต ได้เคยผูกใจเจ็บกันมา ชาตินี้จึงต้องมาแก้แค้นกันเอง และแรงอาฆาตได้ผลักดันให้ทั้งสองมาอยู่ร่วมกัน และแก้แค้นกันเองตามแรงอาฆาตนั้น หรือบางคนรักเขาข้างเดียว อกหักบ่อยครั้ง โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้สนใจด้วยเลย เหตุนี้เกิดขึ้นเนื่องจากอดีตชาติเคยอาฆาตเขาไว้ แต่เขาไม่ได้อาฆาตตอบและไม่ได้ถือโกรธด้วย ชาตินี้จึงต้องทนทุกข์ทรมานเพราะเขาอยู่เพียงฝ่ายเดียว อย่างนี้ไม่ได้เป็นเนื้อคู่ เป็นเพียงคู่กรรมเท่านั้น ทำอย่างไรจึงจะได้อยู่ร่วมกัน เมื่อความรักหวานชื่น คู่ครองทั้งหลายย่อมต้องอยากเกิดมาเป็นเนื้อคู่กันอีก ซึ่งผลกรรมก็ได้จัดสรรการเกิดมาเป็นคู่ครองกันอีกตามที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่นอกจากการรอให้กรรมเป็นตัวจัดสรรแล้ว เรายังสามารถเลือกที่จะได้พบและอยู่เป็นคู่ครองกับเนื้อคู่ของเราได้ในอนาคต โดยการอธิษฐาน แต่แม้จะมีอธิษฐานร่วมกัน สุดท้ายการได้อยู่ร่วมกันก็ยังต้องขึ้นอยู่กับกฎแห่งกรรมอยู่ดี การอธิษฐานนั้นมีทั้งประโยชน์และโทษคือ ในด้านประโยชน์ ทำให้เนื้อคู่ทั้งสองมีโอกาสกลับมาเป็นคู่ครองกันในชาติต่อ ๆไป ได้ง่าย แต่ในแง่ของโทษ บางครั้งก็ทำให้การใช้ชีวิตไม่เป็นปกติสุข เช่น หากเนื้อคู่ที่อธิษฐานกันไว้ไม่ได้มาเกิด หรือมาเ กิดแล้วแต่ยังไม่ได้พบกัน ฝ่ายที่รออยู่จะไม่สามารถมีคู่ได้ จิตใจไม่รักใคร หรือแม้จะได้พบเนื้อคู่ลำดับต้น ๆ แต่ก็มีเหตุให้ไม่สมหวังทุกครั้งไป เนื่องจากแรงอธิษฐานนั้นฉุดรั้งไว้ หรือบางครั้งจิตใจมีสังหรณ์อยู่เสมอว่ารอคอยใครอยู่ ทั้งที่ไม่รู้ว่ารอคอยใคร การแก้ปัญหาเรื่องอธิษฐาน หากแน่ใจว่าเนื้อคู่ที่อธิษฐานกันไว้คงไม่ได้พบเจอกันแน่แล้ว หรืออยากจะปล่อยวางเพื่อมีโอกาสได้ตัดสินใจกับเนื้อคู่ลำดับอื่น สามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงอธิษฐานขออนุญาตเนื้อคู่ว่า ขอละคำอธิษฐานนั้น ขอให้ชีวิตได้พบเนื้อคู่ที่สมกัน และได้ใช้ชีวิตคู่อย่างปกติและมีความสุข คู่บารมี สุดท้ายคือเรื่องของคู่บารมี เป็นคู่สำคัญ เป็นคู่ที่ยาวนาน เพราะต้องร่วมกันสร้างบารมีขณะที่ฝ่ายหนึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเนื้อคู่ที่จะเคียงข้างกันไป การเป็นพระโพธิสัตว์นั้นต้องการกำลังใจที่เข้มแข็ง มั่นคง และเสียสละความสุขทั้งปวงเพื่อประโยชน์ของสัตว์โลก พระโพธิสัตว์นั้นต้องใช้เวลายาวนานมากในการสร้างบุญบารมีกว่าที่จะสามารถตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ อย่างเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาถึง ๒๐ อสงไขยกับเศษแสนมหากัป และอย่างช้าก็เนิ่นนานจนถึง ๘๐ อสงไขยกับเศษแสนมหากัปเลยทีเดียว คนที่ตั้งใจเป็นคู่บารมีจึงต้องมีความเสียสละและเด็ดเดี่ยวไม่แพ้กันบุคคลผู้ปรารถนาเป็นคู่บารมีนั้น จะเป็นผู้ที่ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมากที่สุดได้เป็นคู่ครองกันมากที่สุด และเป็นเนื้อคู่ลำดับ ๑ อย่างเที่ยงแท้ การเป็นคู่บารมีนั้นลำบากมากยิ่งนัก เพราะคนเป็นคู่บารมีนั้นจะต้องพบกับสิ่งต่อไปนี้ คือ ต้องเกิดเป็นผู้หญิง ไม่ได้เกิดเป็นผู้ชาย ต้องช่วยพระโพธิสัตว์ทำงานอย่างเต็มกำลัง ในบางชาติอาจต้องร่วมสร้างบารมีกับพระโพธิสัตว์ เช่น ต้องสละชีวิตร่วมกัน ต้องถูกบริจาคลูก หรือตัวเองเพื่อเสริมบารมีให้พระโพธิสัตว์ เป็นต้น ตราบใดที่พระโพธิสัตว์ยังไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า คู่บารมีนั้นก็ยังไม่มีโอกาสบรรลุโลกุตรธรรมได้ -------------------กัลยาณธรรม

บทความจาก
ธรรมะเดลิเวอรี่
http://www.dhammadelivery.com/

วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2551

บำบัดความเครียด... สมาธิบำบัด




เครียด เครียด เครียด .........เครียด เครียด เครียด ชีวิตประจำวันของคนทำงานทำให้ดัชนีความเครียดของคนไทยพุ่งสูงปรี๊ด ความเครียดทำให้สุขภาพเราแย่ลง ทำให้เราป่วยง่ายขึ้น ที่สำคัญสำหรับสาวๆ เครียดมากๆทำให้หน้าแก่ก่อนวัยได้นะ เมื่อเรารู้สึกเครียดร่างกายเราจะหลั่งฮอร์โมน Adrenaline จากต่อมหมวกไต ถ้าเครียดมากก็หลั่ง Adrenaline มากขึ้นฮอร์โมนความเครียดก็จะไปยับยั้งการทำงานของอวัยวะสำคัญทั้งหมด เช่นหัวใจ ไต ตับ ปอด ทำให้อวัยวะสำคัญของเราเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็พร้อมใจกันหยุดทำงานเพราะฮอร์โมนความเครียดไปทำให้ภูมิต้านของร่างกายเราต่ำลง ต่ำลง เรียกว่าโรคเครียดนอกจากทำแก่ง่ายแล้วยังทำให้ถึงตายได้นะเนี่ย
- ผ่อนคลายความเครียดด้วยการทำสมาธิการทำสมาธิถือได้ว่าเป็นการผ่อนคลายความเครียดที่ลึกซึ้งที่สุด สมาธิทำให้จิตใจสงบนิ่ง แต่มีสติ หยุดความคิดที่ฟุ้งซ่าน วิตกกังวล หรืออารมณ์ด้านลบทั้งหลาย เมื่อเราทำสมาธิจะรู้สึกสบายขึ้นเพราะจะมี Hormoneชื่อ Endorphins หลั่งออกมาในขณะที่จิตใจสงบนิ่ง ฮอร์โมน Adrenaline จากต่อมหมวกไต ก็จะหยุดหลั่ง และในขณะนั้นเองเมื่อจิตสงบสมองส่วน Hypothalamus จะสั่งให้เม็ดเลือดขาวแข็งแรงขึ้น ภูมิต้านทานของเราก็จะสร้างเพิ่มขึ้นหลังจากถูกยับยั้งด้วยฮอร์โมนความเครียด การทำสมาธินี้ดีมาก มาก สำหรับคนที่กำลังบำบัดมะเร็งเพราะ เมื่อภูมิต้านทานกระเตื้องขึ้นการกำจัดcell มะเร็งก็จะเป็นไปตามที่ต้องการ
- ทำสมาธิแบบไหนดี?การทำสมาธิที่สามารถบำบัดโรคที่เกิดจากความเครียด ความกังวล ไม่ใช่โรคที่เกิดจากเชื้อโรคโดยตรง แต่สามารถรักษาใจที่เป็นทุกข์อันเกิดจากโรคได้ วิธีฝึกสมาธิบำบัดมีหลายวิธี ได้แก่ การนั่งภาวนา เดินจงกรม การแผ่เมตตา การอธิษฐานจิต การฝึกใช้พลังภายในร่างกาย การใช้พลังภายนอก การฝึกเพ่งลูกแก้ว และอย่างน้อยควรทำวันละ 2 ครั้ง ถ้าทำได้
- ท่าที่สบายที่สุด จะนั่งขัดสมาธิหรือจะนอนหงายวางแขนไว้ข้างตัวก็ได้ ให้เป็นท่าที่เรารู้สึกสบายตัวที่สุด แล้วก็เลือกสถานที่ที่เรารู้สึกผ่อนคลาย สบายๆไม่ร้อนไม่หนาวเกินไป อุณหภูมิในห้องสบาย ๆหลับตาลงจะได้ตัดตัวเองออกจากโลกภายนอก จิตจะได้สงบง่ายขึ้น แล้วเริ่มด้วยการกำหนดลมหายใจโดยสูดหายใจเข้าช้า ๆ ให้ท้องพอง หายใจออกช้า ๆให้ท้องแฟบ สัก 3 ครั้ง ให้สังเกตลมที่ผ่านเข้าออกทางจมูกว่ากระทบถูกอะไรบ้าง
จากนั้นให้หายใจให้สบาย กำหนดจิตของตนไปรับรู้ลมหายใจเข้าออก โดยไม่ต้องสนใจเสียงรอบข้าง ให้รับรู้เฉย ๆ ถ้าจิตมันจะวอกแวกนึกนั่นนึกนี่ แว่บไปหาเพื่อนคนโน้นคนนี้ นึกห่วงงานที่นั่นที่นี่บ้างก็ดึงสมาธิกลับมาอยู่กับลมหายใจ แรก ๆ อาจทำยากมาก เหมือนเราหัดเดินตั้งไข่ครั้งแรก ล้มบ้าง ลุกบ้างแต่ถ้าพยายามเข้าในที่สุดเราก็จะเดินได้การทำสมาธิก็เช่นกัน ถ้าเราพยายามขยันดึงจิตกลับมาอยู่กับลมหายใจ ทำซ้ำ ๆ สม่ำเสมอ ในที่สุดจิตก็จะเชื่อง และเริ่มนิ่ง เมื่อเข้าถึงสมาธิก็จะได้ความรู้สึกปีติรู้สึกสบายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เพราะ ฮอร์โมนEndorphins หลั่งออกมา และ ฮอร์โมนความเครียด Adrenaline ที่ต่อมหมวกไตก็จะหยุดหลั่งออกมา และเมื่อเข้าสมาธิได้แล้วก็ควรทำเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ๆ ละไม่ต่ำกว่า 15 นาที
- เทคนิคการฝึกหายใจ โดยปกติแล้วการหายใจด้วยอก ชีพจรจะเต้นเร็ว เหนื่อยง่าย ต้องหายใจถี่ๆแต่ถ้าหายใจด้วยท้องชีพจรจะเต้นช้า ในทางวิทยาศาสตร์เราอธิบายได้ว่าเป็นการกระตุ้นกะบังลม ที่กะบังลมจะมีเส้นประสาทวากัส (Vagus) ซึ่งเส้นประสาทตัวนี้เป็นพาราซิมพาเทติก เป็นเส้นประสาทมีผลต่อการผ่อนคลายของกล้ามเนื้อ เพิ่มการทำงานของลำไส้ เส้นประสาทวากัส (Vagus) จะส่งคลื่นไปที่สมอง ทำให้หลอดเลือดขยาย ความดันเลือดลดลง ชีพจรเต้นช้า หายใจช้า ดังนั้นเราจึงต้องฝึกหายใจลงไปที่ท้องแทนเทคนิคการผ่อนคลายกล้ามเนื้อความเครียดทำให้กล้ามเนื้อทุกระบบในร่างกายหดตัว เวลาเครียดเรามักจะทำหน้านิ่วคิ้วขมวด กำหมัด กัดฟัน ทุกครั้งที่รู้สึกเครียด ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวเกิดอาการเจ็บปวด เช่น ปวดต้นคอ ปวดหลัง ปวดไหล่
- การฝึกคลายกล้ามเนื้อ
จะช่วยลดอาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อลง เพราะในขณะที่ฝึก จิตใจ ของเราจะจดจ่ออยู่กับการคลายกล้ามเนื้อ ความคิดฟุ้งซ่าน และความวิตกกังวลก็ลดลง ช่วยให้จิตใจจะมีสมาธิมากขึ้น
วิธีการฝึก เลือกนั่งในท่าที่สบาย เลือกเสื้อผ้าที่สวมใส่สบาย ถอดรองเท้า หลับตา ทำใจให้ว่าง ตั้งใจจดจ่ออยู่ที่กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ 10 กลุ่ม โดยการปฏิบัติดังนี้คือ
1. มือและแขนขวา โดยกำมือ เกร็งแขน แล้วคลาย2. มือและแขนซ้าย ทำเช่นเดียวกัน3. หน้าผาก เลิกคิ้วสูงแล้วคลาย ขมวดคิ้วแล้วคลาย4. ตา แก้ม จมูก ให้หลับตาแน่น ย่นจมูก แล้วคลาย5. ขากรรไกร ลิ้น ริมฝีปาก โดยกัดฟัน ใช้ลิ้นดันเพดานปากแล้วคลาย เม้มปากแน่นแล้วคลาย6. คอ โดยก้มหน้าให้คางจรดคอแล้วคลาย เงยหน้าจนสุดแล้วคลาย7. อก ไหล่ และหลัง โดยหายใจเข้าลึกๆกลั้นไว้ แล้วคลาย ยกไหล่สูงแล้วคลาย8. หน้าท้องและก้น โดยการแขม่วท้อง แล้วคลาย ขมิบก้นแล้วคลาย9. เท้าและขาขวา โดยเหยียดขา งอนิ้ว แล้วคลาย เหยียดขา กระดกปลายเท้าแล้วคลาย10. เท้าและขาซ้าย ทำเช่นเดียวกัน
ข้อแนะนำระยะเวลาที่เกร็งกล้ามเนื้อ ให้น้อยกว่าระยะเวลาที่ผ่อนคลาย เช่น เกร็ง 3-5 วินาที ผ่อนคลาย 10-15 วินาที ควรฝึกประมาณ 8-12 ครั้ง เพื่อให้เกิดความชำนาญเมื่อคุ้นเคยกับการผ่อนคลายแล้ว ให้ฝึกคลายกล้ามเนื้อได้เลยโดยไม่ต้องเกร็งก่อนหรืออาจเลือกคลายกล้ามเนื้อเฉพาะส่วนที่มีปัญหาก็ได้ เช่น บริเวณใบหน้า คอ หลัง ไหล่ เป็นต้น ไม่จำเป็นต้องคลายกล้ามเนื้อทั้งตัวแต่ถ้ามีเวลาทำได้ทั้งหมดก็จะดีมากมากสำหรับตัวคุณเอง
- ฝึกสมาธิประจำ แก้ได้หลายโรคหากฝึกสมาธิเป็นประจำ จิตใจก็เบิกบาน สมองแจ่มใส จิตใจเข้มแข็ง อารมณ์เย็น พร้อมตลอดเวลาไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรมากระทบ สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ด้วยความมั่นใจในตัวเอง เมื่อมีสมาธิที่เข้มแข็ง ปัจจุบันมีการวิจัยและค้นพบข้อดีของการทำสมาธิเช่น
ช่วยปรับสภาวะสมดุลของร่างกายให้เป็นปกติ ทำให้อัตราการหายใจและชีพจรช้าลง
ทำให้คลื่นสมองสงบ กล้ามเนื้อผ่อนคลายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ระดับฮอร์โมนที่ถูกระตุ้นจากความเครียดลดลง
แก้ปัญหานอนไม่หลับได้ถึงร้อยละ 75 และ
ช่วยให้ผู้ที่ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ใช้ยาแก้ปวดลดลงจาก เดิมร้อยละ 34
ช่วยให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งและโรคเอดส์ มีอาการทุกข์ทรมานลดน้อยลงกว่าการรักษาเฉพาะทางทางยา
ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะไมเกรน ความถี่หรือความรุนแรงของอาการจะลดลงร้อยละ 32
และยังพบอีกว่าในการรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน ผู้ที่มีความเชื่อมั่นในศาสนาจะหายเร็ว กว่า ตรงกันข้ามกับคนที่ไม่นับถือศาสนาอะไรเลย จะมีอัตราการตายมากกว่าผู้นับถือศาสนาถึง 3 เท่า
ในสหรัฐอเมริกา มีงานวิจัยของมหาวิทยาลัยวิสคอนซิล และมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย พบผลตรงกันว่า ชาวพุทธที่นั่งสมาธิเป็นประจำ สมองในส่วนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับอารมณ์ที่ดี และ ความคิดด้านบวกจะทำงานกระฉับกระเฉงกว่า ช่วยผ่อนคลายความเครียด และทำให้สมองส่วนที่เป็นศูนย์กลางความทรงจำด้านร้ายสงบลง และการนั่งสมาธิอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้อารมณ์แปรปรวน ตกใจ เกรี้ยวกราด หรือหวาดกลัวลดลงด้วย
แพทย์โรคหัวใจจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ให้คนไข้โรคหัวใจฝึกสมาธิระหว่างบำบัดด้วยยาไปด้วยและได้ผลเป็นที่น่าพอใจ เพราะทำให้ความดันโลหิตและความเครียดลดลงอย่างมาก
ฉะนั้นถ้าอยากมีสุขภาพดี ไม่แก่ง่าย ตายเร็ว ก็ต้องเริ่มการฝึกทำสมาธิและต้องเริ่มทำตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย อย่าได้ผัดผ่อนเด็ดขาด
..................
บทความจาก
http://kullastree.com/

วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551

คำพิพากษา




คำพิพากษาเราตัดสินคนอื่นตลอดเวลา ลองนึกทบทวนดูเวลาที่มีใครมีความเห็น ตีค่าความคิด วัดจิตสำนึกของเรา เราจะไม่ชอบเลย ที่เขาเอากรอบความคิดของเขาเอาประสบการณ์ส่วนตัวของเขามาเป็นบรรทัดฐานในการตีค่า ว่าเราเป็นอย่างไรแล้วพูดบอกเหมือนติดป้ายให้เราตามความคิดของเขา เราก็ไม่ชอบคนอื่นก็เหมือนกัน ไม่มีใครอยากถูกตัดสินตีค่าตลอดเวลา เราไม่มีทางรู้จักใครจนสามารถประเมิณคุณค่าของใครได้อย่างแท้จริง เพราะเราไม่ได้นั่งอยู่ในใจของเขา คนแต่ละคนมีเหตุผลในการทำ พูด คิดของตัวเอง ตามประสบการณ์ ตามแรงผลักในใจและสถานการณ์ที่เขาเผชิญเราสามารถคอยรู้ท้นกรอบความคิดอคติในใจเรา มองคน มองโลกอย่างเป็นกลาง พยายามเข้าใจตามสภาพที่เกิดขึ้น ตามความเป็นจริง ก่อนตัดสินใจเลือกความคิด คำพูด และการกระทำของตัวเอง

เมื่อเราเข้าใจเห็นธรรมชาติที่ร้ายกาจ น่าเกลียดของตัวเอง เราก็จะเข้าใจเวลาที่คนอื่นเป็นเหมือนเรา ถ้าความรู้สึกนึกคิด และคำพูดของเราไม่ได้มีน้ำหนัก ไม่ได้เป็นแก่นสารที่คงทนเป็นสิ่งหนึ่งที่ผุดขึ้นแล้วก็หายไป คำพูด คำวิจารณ์ของคนอื่น ทีสักแต่เป็นคลื่นเสียงลอยอยู่ในอากาศเพียงครู่เดียวก็หายไป ก็ไม่น่าจะทำร้าย ไม่เป็นก้อนหินหนักให้ใจเราแบกเหมือนกันแต่ถึงแม้เราจะคอยปรับแก้ว ปรับปัจจัยภายในคือ ความอยากของเรา ไม่สร้างความทุกข์ให้ใจเรา เราก็ต้องดูด้วยว่าน้ำในแก้ว ปัจจัยภายนอก หรือคนที่เราเลือกนั้นเหมาะสมกับเป้าหมายและวิถีชีวิตของเราหรือไม่ ชีวิตที่ดีงามของคนคนหนึ่ง มีปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่จะพาชีวิตเราให้ขึ้นสูงหรือลงต่ำก็ได้ ก็คือคนรอบตัว เพื่อน ครู กัลยาณมิตร ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องเลือกให้ดี หรือมีอยู่แล้วก็ต้องพัฒนาไม่ให้สร้างปัญหาจนใจเราก็รับไม่ไหว
สนใจอ่านต่อได้ที่http://www.kemtidchewit.com/

วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2551

วิธีทำสมาธิแบบง่ายๆ

วิธีทำสมาธิแบบง่ายๆ โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม วัดอัมพวัน ต.พรหมบุรี อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี ทำสมาธิเพื่อให้จิตสงบ มีพลังมีประโยชน์ในปัจจุบัน คือทำให้ใจสบาย คลายทุกข์ หนักแน่นมั่นคง อารมณ์แจ่มใส ความจำทำงานมีประสิทธิภาพ สุขภาพดี นอนหลับสบาย เรียนหนังสือเก่ง ที่สำคัญคือได้บุญ วิธีนั่งสมาธิ ให้นั่งขัดสมาธิ คือขาขวาทับขาซ้าย นั่งตัวตรงหลับตาเอาสติมาจับอยู่ที่สะดือ ที่ท้องพองยุบ เวลาหายใจเข้าท้องพอง กำหนดว่าพองหนอ ใจนึกกับท้องที่พอง ต้องให้ทันกัน อย่าให้ก่อนหรือหลังกัน หายใจออกท้องยุบ กำหนดว่า ยุบหนอ ใจนึกกับท้องที่ยุบ ต้องทันกัน อย่าให้ก่อนหรือหลังกัน ข้อสำคัญให้สติจับอยู่ที่พอง ยุบ เท่านั้น อย่าดูลมที่จมูก อย่าตะเบ็งท้อง ให้มีความรู้สึกตามความเป็นจริงว่า ท้องพองไปข้างหน้า ท้องยุบมาข้างหลัง อย่าให้เห็นเป็นไปว่า ท้องพองขึ้นข้างบน ท้องยุบลงข้างล่าง ให้กำหนดเช่นนี้ตลอดไป จนกว่าจะถึงเวลาที่กำหนด เมื่อมีเวทนา เวทนาเป็นเรื่องสำคัญที่สุด จะต้องบังเกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติแน่นอน จะต้องมีความอดทน เพื่อเป็นการสร้างขันติบารมีด้วย ถ้าผู้ปฏิบัติขาดความอดทนเสียแล้ว การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้นก็ล้มเหลว ในขณะที่นั่งหรือเดินจงกรมอยู่นั้น ถ้ามีเวทนา ความเจ็บ ปวด เมื่อย คัน เกิดขึ้น ให้หยุดเดิน หรือกำหนดพองยุบ ให้เอาสติไปตั้งไว้ที่เวทนาเกิด และกำหนดไปตามความเป็นจริงว่า ปวดหนอๆๆ เจ็บหนอๆๆ เมื่อยๆ คันหนอๆๆ เป็นต้น ให้กำหนดไปเรื่อยๆ จนกว่าเวทนาจะหายไป เมื่อเวทนาหายไปแล้ว ก็ให้กำหนดนั่งหรือเดินต่อไป จิตเวลานั่งหรือเดินอยู่ ถ้าจิตคิดถึงบ้าน คิดถึงทรัพย์สิน หรือคิดฟุ้งซ่าน ต่างๆ นานา ก็ให้เอาสติปักลงที่ลิ้นปี่ พร้อมกับกำหนดว่า คิดหนอๆๆๆๆ ไปเรื่อยๆ จนกว่าจิตจะหยุดคิด แม้ดีใจ เสียใจ หรือโกรธ ก็กำหนดเช่นเดียวกันว่า ดีใจหนอๆๆๆ เสียใจหนอๆๆๆ โกรธหนอๆๆๆ เป็นต้น คัดลอกมาจาก http://www.kmitl.ac.th/buddhist/tumma/

วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ความสุขที่ถูกมองข้าม(พระไพศาล วิสาโล)

ความสุขที่ถูกมองข้าม(พระไพศาล วิสาโล)
คุณเป็นคนหนึ่งหรือไม่ที่เชื่อว่า ยิ่งมีเงินทองมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น ความเชื่อดังกล่าวดูเผิน ๆ ก็น่าจะถูกต้องโดยไม่ต้องเสียเวลาพิสูจน์ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ประเทศไทยน่าจะมีคนป่วยด้วยโรคจิตน้อยลง มิใช่เพิ่มมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่รายได้ของคนไทยสูงขึ้นทุกปี ในทำนองเดียวกันผู้จัดการก็น่าจะมีความสุขมากกว่าพนักงานระดับล ่าง ๆ เนื่องจากมีเงินเดือนมากกว่า แต่ความจริงก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป ไม่นานมานี้มหาเศรษฐีคนหนึ่งของไทยได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว ่า เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิต เขาพูดถึงตัวเองว่า "ชีวิต(ของผม)เริ่มหมดค่าทางธุรกิจ" ลึกลงไปกว่านั้นเขายังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความหมาย เขาเคยพูดว่า "ผมจะมีความหมายอะไร ก็เป็นแค่....มหาเศรษฐีหมื่นล้านคนหนึ่ง" เมื่อเงินหมื่นล้านไม่ทำให้มีความสุข เขาจึงอยู่เฉยไม่ได้ ในที่สุดวิ่งเต้นจนได้เป็นรัฐมนตรี ขณะที่เศรษฐีหมื่นล้านคนอื่น ๆ ยังคงมุ่งหน้าหาเงินต่อไป ด้วยความหวังว่าถ้าเป็นเศรษฐีแสนล้านจะมีความสุขมากกว่านี้ คำถามก็คือ เขาจะมีความสุขเพิ่มขึ้นจริงหรือ ? คำถามข้างต้นคงมีประโยชน์ไม่มากนักสำหรับคนทั่วไป เพราะชาตินี้คงไม่มีวาสนาแม้แต่จะเป็นเศรษฐีร้อยล้านด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยก็คงตอบคำถามที่อยู่ในใจของคนจำนวนไม่น้อยได้บ้างว ่า ทำไมอัครมหาเศรษฐีทั้งหลาย รวมทั้งบิล เกตส์ จึงไม่หยุดหาเงินเสียที ทั้ง ๆ ที่มีสมบัติมหาศาล ขนาดนั่งกินนอนกินไป ๗ ชาติก็ยังไม่หมด แต่ถ้าเราอยากจะค้นพบคำตอบให้มากกว่านี้ ก็น่าจะย้อนถามตัวเองด้วยว่า ทำไมถึงไม่หยุดซื้อแผ่นซีดีเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับหมื่นแผ่น ทำไมถึงไม่หยุดซื้อเสื้อผ้าเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วเกือบพันตัว ทำไมถึงไม่หยุดซื้อรองเท้าเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับร้อยคู่ แผ่นซีดีที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนฟังทั้งชาติก็ยังไม่หมด ในทำนองเดียวกัน เสื้อผ้า หรือรองเท้า ที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนก็เอามาใส่ไม่ครบทุกตัวหรือทุกคู่ด้วยซ้ำ มีหลายตัวหลายคู่ที่ซื้อมาโดยไม่ได้ใช้เลย แต่ทำไมเราถึงยังอยากจะได้อีกไม่หยุดหย่อน ใช่หรือไม่ว่า สิ่งที่เรามีอยู่แล้วในมือนั้นไม่ทำให้เรามีความสุขได้มากกว่าส ิ่งที่ได้มาใหม่ มีเสื้อผ้าอยู่แล้วนับร้อยก็ไม่ทำให้จิตใจเบ่งบานได้เท่ากับเสื ้อ ๑ ตัวที่ได้มาใหม่ มีซีดีอยู่แล้วนับพันก็ไม่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นได้เท่ากับซีดี ๑ แผ่นที่ได้มาใหม่ ในทำนองเดียวกันมีเงินนับร้อยล้านในธนาคารก็ไม่ทำให้รู้สึกปลาบ ปลื้มใจเท่ากับเมื่อได้มาใหม่อีก ๑ ล้าน พูดอีกอย่างก็คือ คนเรานั้นมักมีความสุขจากการได้ มากกว่าความสุขจากการ มี มีเท่าไรก็ยังอยากจะได้มาใหม่ เพราะเรามักคิดว่าของใหม่จะให้ความสุขแก่เราได้มากกว่าสิ่งที่ม ีอยู่เดิม บ่อยครั้งของที่ได้มาใหม่นั้นก็เหมือนกับของเดิมไม่ผิดเพี้ยน แต่เพียงเพราะว่ามันเป็นของใหม่ ก็ทำให้เราดีใจแล้วที่ได้มา จะว่าไปนี่อาจเป็นสัญชาตญาณที่มีอยู่กับสัตว์หลายชนิดไม่เฉพาะแ ต่มนุษย์เท่านั้น ถ้าโยนน่องไก่ให้หมา หมาก็จะวิ่งไปคาบ แต่ถ้าโยนน่องไก่ชิ้นใหม่ไปให้ มันจะรีบคายของเก่าและคาบชิ้นใหม่แทน ทั้ง ๆ ที่ทั้งสองชิ้นก็มีขนาดเท่ากัน ไม่ว่าหมาตัวไหนก็ตาม ของเก่าที่มีอยู่ในปากไม่น่าสนใจเท่ากับของใหม่ที่ได้มา ถ้าหากว่าของใหม่ให้ความสุขได้มากกว่าของเก่าจริง ๆ เรื่องก็น่าจะจบลงด้วยดี แต่ปัญหาก็คือของใหม่นั้นไม่นานก็กลายเป็นของเก่า และความสุขที่ได้มานั้นในที่สุดก็จางหายไป ผลก็คือกลับมารู้สึก "เฉย ๆ" เหมือนเดิม และดังนั้นจึงต้องไล่ล่าหาของใหม่มาอีก เพื่อหวังจะให้มีความสุขมากกว่าเดิม แต่แล้วก็วกกลับมาสู่จุดเดิม เป็นเช่นนี้ไม่รู้จบ น่าคิดว่าชีวิตเช่นนี้จะมีความสุขจริงหรือ ? เพราะไล่ล่าแต่ละครั้งก็ต้องเหนื่อย ไหนจะต้องขวนขวายหาเงินหาทอง ไหนจะต้องแข่งกับผู้อื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ ครั้นได้มาแล้วก็ต้องรักษาเอาไว้ให้ได้ ไม่ให้ใครมาแย่งไป แถมยังต้องเปลืองสมองหาเรื่องใช้มันเพื่อให้รู้สึกคุ้มค่า ยิ่งมีมากชิ้นก็ยิ่งต้องเสียเวลาในการเลือกว่าจะใช้อันไหนก่อน ทำนองเดียวกับคนที่มีเงินมาก ๆ ก็ต้องยุ่งยากกับการตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวลอนดอน นิวยอร์ค เวกัส โตเกียว มาเก๊า หรือซิดนีย์ดี ถ้าเราเพียงแต่รู้จักแสวงหาความสุขจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว ชีวิตจะยุ่งยากน้อยลงและโปร่งเบามากขึ้น อันที่จริงความพอใจในสิ่งที่เรามีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่เป็นปัญหาก็เพราะเราชอบมองออกไปนอกตัว และเอาสิ่งใหม่มาเทียบกับของที่เรามีอยู่ หาไม่ก็เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เมื่อเห็นเขามีของใหม่ ก็อยากมีบ้าง คงไม่มีอะไรที่จะทำให้เราทุกข์ได้บ่อยครั้งเท่ากับการชอบเปรียบ เทียบตัวเองกับคนอื่น การเปรียบเทียบจึงเป็นหนทางลัดไปสู่ความทุกข์ที่ใคร ๆ ก็นิยมใช้กัน นิสัยชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น ทำให้เราไม่เคยมีความพอใจในสิ่งที่ตนมีเสียที แม้จะมีหน้าตาดี ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่สวย เพราะไปเปรียบเทียบตัวเองกับดาราหรือพรีเซนเตอร์ในหนังโฆษณา การมองแบบนี้ทำให้ "ขาดทุน" สองสถาน คือนอกจากจะไม่มีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว ยังเป็นทุกข์เพราะไม่ได้สิ่งที่อยาก พูดอีกอย่างคือไม่มีความสุขกับปัจจุบัน แถมยังเป็นทุกข์เพราะอนาคตที่พึงปรารถนายังมาไม่ถึง ไม่มีอะไรที่เป็นอุทธาหรณ์สอนใจได้ดีเท่ากับนิทานอีสปเรื่องหมา คาบเนื้อ คงจำได้ว่า มีหมาตัวหนึ่งได้เนื้อชิ้นใหญ่มา ขณะที่กำลังเดินข้ามสะพาน มันมองลงมาที่ลำธาร เห็นเงาของหมาตัวหนึ่ง (ซึ่งก็คือตัวมันเอง) กำลังคาบเนื้อชิ้นใหญ่ เนื้อชิ้นนั้นดูใหญ่กว่าชิ้นที่มันกำลังคาบเสียอีก ด้วยความโลภ (และหลง) มันจึงคายเนื้อที่คาบอยู่ เพื่อจะไปคาบชิ้นเนื้อที่เห็นในน้ำ ผลก็คือเมื่อเนื้อตกน้ำ ชิ้นเนื้อในน้ำก็หายไป มันจึงสูญทั้งเนื้อที่คาบอยู่และเนื้อที่เห็นในน้ำ บ่อเกิดแห่งความสุขมีอยู่กับเราทุกคนในขณะนี้อยู่แล้ว เพียงแต่เรามองข้ามไปหรือไม่รู้จักใช้เท่านั้น เมื่อใดที่เรามีความทุกข์ แทนที่จะมองหาสิ่งนอกตัว ลองพิจารณาสิ่งที่เรามีอยู่และเป็นอยู่ ไม่ว่า มิตรภาพ ครอบครัว สุขภาพ ทรัพย์สิน รวมทั้งจิตใจของเรา ล้วนสามารถบันดาลความสุขให้แก่เราได้ทั้งนั้น ขอเพียงแต่เรารู้จักชื่นชม รู้จักมอง และจัดการอย่างถูกต้องเท่านั้น แทนที่จะแสวงหาแต่ความสุขจากการได้ ลองหันมาแสวงหาความสุขจากการ มี หรือจากสิ่งที่ มี ขั้นต่อไปคือการแสวงหาความสุขจากการ ให้ กล่าวคือยิ่งให้ความสุข ก็ยิ่งได้รับความสุข สุขเพราะเห็นน้ำตาของผู้อื่นเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม และสุขเพราะภาคภูมิใจที่ได้ทำความดีและทำให้ชีวิตมีความหมาย จากจุดนั้นแหละก็ไม่ยากที่เราจะค้นพบความสุขจากการ ไม่มี นั่นคือสุขจากการปล่อยวาง ไม่ยึดถือในสิ่งที่มี และเพราะเหตุนั้น แม้ไม่มีหรือสูญเสียไป ก็ยังเป็นสุขอยู่ได้ เกิดมาทั้งที น่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับความสุขจากการ ให้ และ การ ไม่มี เพราะนั่นคือสุขที่สงบเย็นและยั่งยืนอย่างแท้จริง

พระไพศาล วิสาโล

ที่มาhttp://www.dhammajak.net/book-paisan/13.html

วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เนื้อเพลง: ลีฟ แอนด์ เลิร์น (Live and Learn)

นำมาฝากเพื่อนๆเพื่อจะได้นำไปใช้ในการดำรงชีวิตตามเนื้อร้องในบทเพลง
เมื่อวันที่ชีวิต เดินเข้ามาถึงจุดเปลี่ยน จนบางครั้งคนเราไม่ทันได้ตระเตรียมหัวใจ ความสุขความทุกข์ ไม่มีใครรู้ว่าจะมาเมื่อไหร่ จะยอมรับความจริงที่เจอได้แค่ไหน เพราะชีวิตคือชีวิต เมื่อมีเข้ามาก็มีเลิกไป มีสุขสมมีผิดหวัง หัวเราะหรือหวั่นไหว เกิดขึ้นได้ทุกวัน อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด สุขก็เตรียมไว้ ว่าความทุกข์คงตามมาอีกไม่ไกล จะได้รับความจริงเมื่อต้องเจ็บปวดไหว เพราะชีวิตคือชีวิต เมื่อมีเข้ามาก็มีเลิกไป มีสุขสมมีผิดหวัง หัวเราะหรือหวั่นไหว เกิดขึ้นได้ทุกวัน อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

ที่มา http://www.siamzone.com/music/thailyric/index.php?mode=view&artist=!!bacdc220e2a1cad4c2bea7c9ec&song=!!c5d5bf20e1cdb9b4ec20e0c5d4c3ecb920284c69766520616e64204c6561726e29

วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เรื่องของในหลวงที่เรา(อาจ)ไม่เคยรู้ หากรัก'พระองค์ท่าน' กรุณาอ่านให้จบด้วย

1.ทรงพระราชสมภพเวลา 08.45น.
2.นายแพทย์ผู้ทำคลอดชื่อ ดับลิว สจ๊วต วิตมอร์ ทรงมีน้ำหนักแรกประสูติ 6 ปอนด์
3.พระนาม 'ภูมิพล' ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7
4.พระยศเมื่อแรกประสูติ คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ภูมิพลอดุลยเดช
5.ทรงมีชื่อเล่น ว่า เล็ก หรือ พระองค์เล็ก
6.ทรงเคยเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนมาแตร์เดอี เพราะช่วงพระชนมายุ 5 พรรษา ทรงเคยเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ 1 ปี มีพระนามในใบลงทะเบียนว่า 'H.H Bhummibol Mahidol'หมายเลขประจำตัว 449
7.ทรงเรียกสมเด็จพระราชชนนีหรือสมเด็จย่า อย่างธรรมดาว่า 'แม่'
8.สมัยทรงพระเยาว์ ทรงได้ค่าขนม อาทิตย์ละครั้ง
9.แม้จะได้เงินค่าขนมทุกอาทิตย์ แต่ยังทรงรับจ้างเก็บผักผลไม้ไปขาย เมื่อได้เงินมาก็นำไปซื้อเมล็ดผักมาปลูกเพิ่ม
10.สมัยพระเยาว์ทรงเลี้ยงสัตว์หลายชนิดทั้งสุนัข กระต่าย ไก่ นกขุนทอง ลิง แม้แต่งูก็เคยเลี้ยง ครั้งหนึ่งงูตายไปก็มีพิธีฝังศพอย่างใหญ่โต
11.สุนัขตัวแรกที่ทรงเลี้ยงสมัยทรงพระเยาว์เป็นสุนัขไทย ทรงตั้งชื่อให้ว่า'บ๊อบบี้'
12.ทรงฉลองพระเนตร(แว่นสายตา)ตั้งแต่พระชันษายังไม่เต็ม 10 ขวบ เพราะครูประจำชั้นสังเกตเห็นว่าเวลาจะทรงจดอะไรจากกระดานดำพระองค์ต้องลุกขึ้นบ่อยๆ
13.สมัยพระเยาว์ทรงซนบ้าง หากสมเด็จย่าจะลงโทษ จะเจรจากันก่อนว่า โทษนี้ควรตีกี่ที ในหลวงจะทรงต่อรองว่า 3 ที มากเกินไป 2 ทีพอแล้ว
14.ระหว่างประทับอยู่ สวิตเซอร์แลนด์นั้นระหว่างพี่น้องจะทรงใช้ภาษาฝรั่งเศส แต่จะใช้ภาษาไทยกับสมเด็จย่าเสมอ
15.ทรงได้รับการอบรมให้รู้จัก 'การให้' โดยสมเด็จย่าจะทรงตั้งกระป๋องออมสินเรียกว่า 'กระป๋องคนจน' เอาไว้ หากทรงนำเงินไปทำกิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูก 'เก็บภาษี' หยอดใส่กระปุกนี้ 10% ทุกสิ้นเดือนสมเด็จย่าจะเรียกประชุมเพื่อถามว่าจะเอาเงินในกระป๋องนี้ไปทำอะไร เช่น มอบให้โรงเรียนตาบอด มอบให้เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน
16.ครั้งหนึ่ง ในหลวงกราบทูลสมเด็จย่าว่าอยากได้รถจักรยาน เพราะเพื่อนคนอื่นๆ เขามีจักรยานกัน สมเด็จย่าก็ตอบว่า 'ลูกอยากได้จักรยาน ลูกก็ต้องเก็บค่าขนมไว้สิ หยอดกระป๋องวันละเหรียญ ได้มาก ค่อยเอาไปซื้อจักรยาน'
17.กล้องถ่ายรูปกล้องแรกของในหลวง คือ Coconet Midget ทรงซื้อด้วยเงินสะสมส่วนพระองค์ เมื่อพระชนม์เพียง 8 พรรษา
18.ช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทรงปั่นจักรยานไปโรงเรียนแทนรถพระที่นั่ง
19. พระอัจฉริยภาพของในหลวง มีพื้นฐานมาจาก 'การเล่น' สมัยทรงพระเยาว์ เพราะหากอยากได้ของเล่นอะไรต้องทรงเก็บสตางค์ซื้อเอง หรือ ประดิษฐ์เอง ทรงเคยหุ้นค่าขนมกับพระเชษฐา ซื้อชิ้นส่วนวิทยุทีละชิ้นๆ แล้วเอามาประกอบเองเป็นวิทยุ แล้วแบ่งกันฟัง
20.สมเด็จย่าทรงสอนให้ในหลวงรู้จักการใช้แผนที่และภูมิประเทศของไทย โดยโปรดเกล้าฯให้โรงเรียนเพาะช่างทำแผนที่ประเทศไทยเป็นรูปตัวต่อ เลื่อยเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆเพื่อให้ทรงเล่นเป็นจิ๊กซอว์
21.ในหลวงทรงเครื่องดนตรีได้หลายชนิด เช่น เปียโน กีตาร์ แซกโซโฟน แต่รู้หรือไม่ว่าเครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ทรงหัดเล่นคือ หีบเพลง (แอกคอร์เดียน)
22.ทรงสนพระทัยดนตรีอย่างจริงจังราวพระชนม์ 14-15 พรรษา ทรงซื้อแซกโซโฟนมือสองราคา 300 ฟรังก์มาหัดเล่น โดยใช้เงินสะสมส่วนพระองค์ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งสมเด็จย่าออกให้
23.ครูสอนดนตรีให้ในหลวง ชื่อ เวย์เบรชท์ เป็นชาว อัลซาส
24.ทรงพระราชนิพนธ์พลงครั้งแรก เมื่อพระชนมพรรษา 18 พรรษา เพลงพระราชนิพนธ์แรกคือ 'แสงเทียน' จนถึงปัจจุบันพระราชนิพนธ์เพลงไว้ทั้งหมด 48 เพลง
25.ทรงพระราชนิพนธ์เพลงได้ทุกแห่ง บางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องดนตรีช่วย อย่างครั้งหนึ่งทรงเกิดแรงบันดาลพระทัย ทรงฉวยซองจดหมายตีเส้น 5 เส้นแล้วเขียนโน้ตทำนองเพลงขึ้นเดี๋ยวนั้น กลายเป็นเพลง 'เราสู้'
26. รู้ไหม...? ทรงมีพระอุปนิสัยสนใจการถ่ายภาพเหมือนใคร : เหมือนสมเด็จย่า และ รัชกาลที่5
27. นอกจากทรงโปรดการถ่ายภาพแล้ว ยังสนพระทัยการถ่ายภาพยนตร์ด้วย ทรงเคยนำภาพยนตร์ส่วนพระองค์ออกฉายแล้วนำเงินรายได้มาสร้างอาคารสภากาชาดไทย ที่ รพ.จุฬาฯ โรงพยาบาลภูมิพล รวมทั้งใช้ในโครงการโรคโปลิโอและโรคเรื้อนด้วย
28. ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง 'นายอินทร์' และ 'ติโต' ทรงเขียนด้วยลายพระหัตถ์ แล้วให้เสมียนพิมพ์ แต่ 'พระมหาชนก' ทรงพิมพ์ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์
29. ทรงเล่นกีฬาได้หลายชนิด แต่กีฬาที่ทรงโปรดเป็นพิเศษได้แก่ แบดมินตัน สกี และ เรือใบ ทรงเคยได้เหรียญทองจากการแข่งขันเรือใบประเภทโอเค ในกีฬาแหลมทอง(ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น'กีฬาซีเกมส์') ครั้งที่ 4 ปี พ.ศ.2510
30. ครั้งหนึ่ง ทรงเรือใบออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นกลับฝั่ง และตรัสกับผู้ที่คอยมาเฝ้าฯว่า เสด็จฯกลับเข้าฝั่งเพราะเรือแล่นไปโดนทุ่นเข้า ซึ่งในกติกาการแข่งเรือใบถือว่าฟาวส์ ทั้งๆที่ไม่มีใครเห็น แสดงให้เห็นว่าทรงยึดกติกามากแค่ไหน
31. ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลกที่ได้รับสิทธิบัตรผลงานประดิษฐ ์คิดค้นเครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่มลอย หรือ 'กังหันชัยพัฒนา' เมื่อปี 2536
33. ทรงเป็นผู้ริเริ่มการพัฒนาเชื้อเพลิงน้ำมันจากวัสดุการเกษตรเพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทน เช่น แก๊สโซฮอล์,ดีโซฮอลล์ และ น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว
34. องค์การสหประชาชาติ ได้ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ แด่ในหลวงเมื่อ วันที่ 26 พฤษภาคม 2549 เพื่อสดุดีพระเกียรติคุณพระราชกรณียกิจด้านการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทย โดยมี นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ เดินทางมาถวายรางวัลด้วยตนเอง
35. พระนามเต็มของในหลวง : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรา มหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
36. รักแรกพบ ของในหลวงและหม่อมสิริกิติ์เกิดขึ้นที่สวิสเซอร์แลนด์ แต่เหตุการณ์ครั้งนั้น สมเด็จพระบรมราชินีนาถฯทรงให้สัมภาษณ์ว่า'น่าจะเป็น เกลียดแรกพบ มากกว่ารักแรกพบ เนื่องเพราะรับสั่งว่าจะเสด็จถึงเวลาบ่าย 4 โมง แต่จริงๆแล้วเสด็จมาถึงหนึ่งทุ่ม ช้ากว่าเวลานัดหมายตั้งสามชั่วโมง
37. ทรงหมั้นกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2492 และจัดพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ที่วังสระปทุม เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493 โดยทรงจดทะเบียนสมรสเหมือนคนทั่วไป ข้อความในสมุดทะเบียนก็เหมือนคนทั่วไปทุกอย่าง ปิดอากรแสตมป์ 10 สตางค์ เสียค่าธรรมเนียม 10 บาท
37. หลังอภิเษกสมรส ทรง'ฮันนีมูน'ที่หัวหิน
38. ทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2499 และประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลา 15 วัน
39. ระหว่างทรงผนวช พระอุปัชฌาย์และพระพี่เลี้ยง คือ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
40. ของใช้ส่วนพระองค์นั้นไม่จำเป็นต้องแพงหรือต้องแบรนด์เนม ดังนั้นการถวายของให้ในหลวงจึงไม่จำเป็นจะต้องเป็นของแพง อะไรที่มาจากน้ำใจจะทรงใช้ทั้งนั้น
41. เครื่องประดับ : ในหลวงไม่ทรงโปรดสวมเครื่องประดับ เช่น แหวน สร้อยคอ ของมีค่าต่างๆ ยกเว้น นาฬิกา
42. พระเกศาที่ทรงตัดแล้ว : ส่วนหนึ่งเก็บไว้ที่ธงชัยเฉลิมพลเพื่อมอบแก่ทหาร อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้สร้างวัตถุมงคล เพื่อมอบแก่ราษฎรที่ทำคุณงามความดีแก่ประเทศชาติ
43. หลอดยาสีพระทนต์ ทรงใช้จนแบนราบเรียบคล้ายแผ่นกระดาษ โดยเฉพาะบริเวณคอหลอด ยังปรากฏรอยบุ๋มลึกลงไปจนถึงเกลียวคอหลอด ซึ่งเป็นผลจากการใช้ด้ามแปรงสีพระทนต์ช่วยรีด และ กดเป็นรอยบุ๋ม 44. วันที่ในหลวงเสียใจที่สุด คือวันที่สมเด็จย่าเสด็จสวรรคต มีหนังสือเล่าไว้ว่า วันนั้นในหลวงไปเฝ้า แม่ถึงตีสี่ตีห้า พอแม่หลับจึงเสด็จฯกลับ เมื่อถึงวัง ทางโรงพยาบาลก็โทรศัพท์มาแจ้งว่า สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์แล้ว ในหลวงรีบกลับไปที่โรงพยาบาล เห็นแม่นอนหลับตาอยุ่บนเตียง ในหลวงคุกเข่าเข้าไปกราบที่อกแม่ ซบหน้านิ่งอยู่นาน ค่อยๆเงยพระพักตร์ขึ้นมาน้ำพระเนตรไหลนอง
45. โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จนถึงปัจจุบนมีจำนวนกว่า 3,000 โครงการ
46. ทุกครั้งที่เสด็จฯไปยังสถานต่างๆจะทรงมีสิ่งของประจำพระองค์อยู่ 3 สิ่ง คือ แผนที่ซึ่งทรงทำขึ้นเอง(ตัดต่อเอง ปะกาวเอง) กล้องถ่ายรูป และดินสอที่มียางลบ
47.ในหลวงทรงงานด้วยพระองค์เองทุกอย่างแม้กระทั่งการโรเนียวกระดาษที่จะนำมาให้ข้าราชการที่เข้าเฝ้าฯถวายงาน
48. เก็บร่ม : ครั้งหนึ่งเมื่อในหลวงเสด็จฯเยี่ยมโครงการห้วยสัตว์ใหญ่ เมื่อเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมาถึง ปรากฏว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก ข้าราชการและราษฎรที่เข้าแถวรอรับเปียกฝนกันทุกคน เมื่อทรงเห็นดังนั้น จึงมีรับสั่งให้องครักษ์เก็บร่ม แล้วทรงเยี่ยมข้าราชการและราษฎรทั้งกลางสายฝน
49. ทรงศึกษาลักษณะอากาศทุกวัน โดยใช้ข้อมูลที่กรมอุตุนิยมวิทยานำขึ้นทูลเกล้าฯ ร่วมกับข้อมูลจากต่างประเทศที่หามาเอง เพื่อป้องกันภัยธรรมชาติที่อาจก่อความเสียหายแก่ประชาชน
50. โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา เริ่มต้นขึ้นจากเงินส่วนพระองค์จำนวน 32,866.73บาท ซึ่งได้จากการขายหนังสือดนตรีที่พระเจนดุริยางค์ จากการขายนมวัว ก็ค่อยๆเติบโตเป็นโครงการพัฒนามาจนเป็นอย่างที่เราเห้นกันทุกวันนี้
51. เวลามีพระราชอาคันตุกะเสด็จมาเยี่ยมชมโครงการฯสวนจิตรลดา ในหลวงจะเสด็จฯลงมาอธิบายด้วยพระองค์เอง เนื่องจากทรงรู้ทุกรายละเอียด
52. ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามว่า เคยทรงเหนื่อยทรงท้อบ้างหรือไม่ ในหลวงตอบว่า 'ความจริงมันน่าท้อถอยอยู่หรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ
53. ทรงนึกถึงแต่ประชาชน แม้กระทั่งวันที่พระองค์ทรงกำลังจะเข้าห้องผ่าตัดกระดูกสันหลังในอีก 5 ชั่วโมง (20 กรกฎาคม 2549) ยังทรงรับสั่งให้ข้าราชบริพารไปติดตั้งคอมพิวเตอร์เดินสายออนไลน์ไว้ เพราะกำลังมีพายุเข้าประเทศ พระองค์จะได้มอนิเตอร์ เผื่อน้ำท่วมจะได้ช่วยเหลือทัน
54. อาหารทรงโปรด : โปรดผัดผักทุกชนิด เช่น ผัดคะน้า ผัดถั่วงอก ผัดถั่วลันเตา
55. ผักที่ไม่โปรด : ผักชี ต้นหอม และตังฉ่าย
56. ทรงเสวย ข้าวกล้อง เป็นพระกระยาหารหลัก
57. ไม่เสวยปลานิล เพราะทรงเป็นผู้เลี้ยงปลานิลคนแรกในประเทศไทย โดยใช้สระว่ายน้ำในพระตำหนักสวนจิตรลดาเป็นบ่อเลี้ยง แล้วแจกจ่ายพันธุ์ไปให้กรมประมง
58. เครื่องดื่มทรงโปรด : โปรดโอวัลตินเป็นพิเศษ เคยเสวยวันหนึ่งหลายครั้ง
59. ทีวีช่องโปรด ทรงโปรดข่าวช่องฝรั่งเศส ของยูบีซี เพื่อทรงรับฟังข่าวสารจากทั่วโลก
60. ทรงฟัง จส.100 และเคยโทรศัพท์ไปรายงานสถานการณ์ต่างๆใน กทม.ไปที ่ จส.100ด้วย โดยใช้พระนามแฝง
61. หนังสือที่ในหลวงอ่าน : ตอนเช้าตื่นบรรทม ในหลวงจะเปิดดูหนังสือพิมพ์รายวันทั้งไทยและเทศ ทุกฉบับ และก่อนเข้านอนจะทรงอ่านนิตยสารไทม์ส นิวสวีก เอเชียวีก ฯลฯ ที่มีข่าวทั่วทุกมุมโลก
62. ร้านตัดเสื้อของในหลวง คือ ร้านยูไลย เจ้าของชื่อ ยูไลย ลาภประเสริฐ ถวายงานตัดเสื้อในหลวงมาตั้งแต่ปี 2501 เมื่อนายยูไลยเสียชีวิต ก็มี ลูกชาย นายสมภพ ลาภประเสริฐ มาถวายงานต่อ จนถึงตอนนี้ก็เกือบ 50 ปีแล้ว
63. ห้องทรงงานของในหลวง อยู่ใกล้ห้องบรรทม บนชั้น 8 ของตำหนักจิตรลดาฯเป็นห้องเล็กๆ ขนาด 3x4 เมตร ภายในห้องมีวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องบันทึกเสียง เครื่องพยากรณ์ แผนที่ ฯลฯ
64. สุนัขทรงเลี้ยง นอกจากคุณทองแดง สุวรรณชาด สุนัขประจำรัชกาล ที่ปัจจุบันอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล แล้ว ยังมีสุนัขทรงเลี้ยงอีก 33 ตัว
65. ในหลวง เกิดจากคำที่ชาวเหนือใช้เรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า 'นายหลวง' ภายหลังจึงเปลี่ยนเป็น ในหลวง
66. ทรงเชี่ยวชาญถึง 6 ภาษา คือ ไทย ละติน ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน และ สเปน
67. อาชีพของในหลวง เมื่อผู้แทนพระองค์ไปติดต่อเอกสารสำคัญใดๆทรงโปรดให้กรอกในช่อง อาชีพ ของพระองค์ว่า 'ทำราชการ'
68. ในหลวงทรงพระเนตรเทียมข้างขวา เป็นผลจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เมืองโลซานน์ สวิตเซอร์แลนด์ รถพระที่นั่งชนกับรถบรรทุกอย่างแรง ทำให้เศษกระจกเข้าพระเนตรข้างขวา ตอนนั้นมีอายุเพียง 20 พรรษา และทรงใช้พระเนตรข้างซ้ายข้างเดียว ในการทำงานบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชนชาวไทยมาตลอดกว่า 60 ปี
69. ครั้งหนึ่งหนังสือพิมพ์อเมริกันลงข่าวลือเกี่ยวกับในหลวงว่า แซกโซโฟนที่ทรงอยู่เป็นประจำนั้นเป็นแซกโซโฟนที่ทำด้วยทองคำเนื้อแท้บริสุทธิ์ ซึ่งได้มีพระราชดำรัสว่า'อันนี้ไม่จริงเลย สมมติว่าจริงก็จะหนักมาก ยกไม่ไหวหรอก'
70. ปีหนึ่งๆ ในหลวงทรงเบิกดินสอแค่ 12 แท่ง ใช้เดือนละแท่ง จนกระทั่งกุด
71. หัวใจทรงเต้นไม่ปรกติ ในหลวงเคยประชวรหนักจนหัวใจเต้นไม่ปกติ เนื่องจากติดเชื้อไมโครพลาสม่า ขณะขึ้นเยี่ยมราษฎรที่อำเภอสะเมิงติดต่อกันหลายปี
72. รู้หรือไม่ว่า ในหลวงเป็นคนประดิษฐ์รูปแบบฟอนต์ภาษาในคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้อย่าง ฟอนต์จิตรลดา ฟอนต์ภูพิงค์
73. ในนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี จัดขึ้นที่อิมแพ็ค มีประชาชนเข้าชมรวม 6ล้านคน
74. ในหลวงเริ่มพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2493 จน 29 ปีต่อมาจึงมีผู้คำนวณว่าเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร 490 ครั้ง ประทับครั้งละ 3 ชม. ทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทาน 470,000 ครั้ง น้ำหนักปริญญาบัตรฉบับละ 3 ขีด รวมน้ำหนักทั้งหมด 141 ตัน
75. ดอกไม้ประจำพระองค์ คือ ดอกดาวเรือง
76. สีประจำพระองค์คือ สีเหลือง
77. นั่งรถหารสอง : ทรงรับสั่งกับข้าราชบริพารเสมอว่า การนั่งรถคนละคันเป็นการสิ้นเปลือง จึงให้นั่งรวมกัน ไม่โปรดให้มีขบวนรถยาวเหยียด

ที่มา น้าส่งมาให้ทางเมลล์